ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1990 หากเราเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นของครอบครัวชนชั้นกลางสักแห่ง ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ โตเกียว หรือนิวยอร์ก ภาพที่เห็นแทบจะเหมือนกันหมด
ตรงมุมห้องที่เด่นที่สุด จะมีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ มันคือโทรทัศน์ และเกือบ 100% ของโลโก้ที่แปะอยู่หน้าเครื่องนั้น จะเป็นแบรนด์จากประเทศเดียว
Sony Panasonic Sharp
ในยุคนั้น การมีทีวี Sony Trinitron เครื่องใหญ่ตั้งอยู่ในบ้าน มันไม่ใช่แค่อุปกรณ์ให้ความบันเทิง แต่มันคือ “หน้าตา” ทางสังคม
มันเปรียบเสมือนการจอดรถ Lexus ไว้หน้าบ้าน หรือการสวมนาฬิกา Rolex ไว้บนข้อมือ
คำว่า “Made in Japan” ในยุคนั้น มีมนต์ขลังที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าคำรับประกันใด ๆ
มันแปลว่าความทนทานชนิดที่เรียกว่า “กันกระสุน” ซื้อวันนี้ อีกยี่สิบปีข้างหน้ามันก็จะยังเปิดติด…
พ่อแม่ในยุคนั้นมักจะอวดกันถึงทีวีเครื่องใหม่ เด็ก ๆ เติบโตมากับการตื่นเช้าวันเสาร์เพื่อดูการ์ตูนผ่านหน้าจอที่คมชัดที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ส่วนช่างซ่อมทีวีน่ะเหรอ แทบจะตกงานเพราะของมันไม่ยอมพัง
แต่ใครจะไปเชื่อว่า เพียงแค่เวลาผ่านไปไม่กี่ทศวรรษ ภาพจำเหล่านั้นจะกลายเป็นเพียงอดีตที่เลือนราง
เมื่อเราตัดภาพมาที่ปี 2025 สถานการณ์กลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิง
ราชันย์แห่งโลกโทรทัศน์ที่เคยผูกขาดความยิ่งใหญ่ ได้ถูกโค่นลงจากบัลลังก์อย่างเงียบๆ
และผู้ที่ก้าวขึ้นมาแทนที่ ไม่ใช่คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อจากเกาหลีใต้อย่าง Samsung หรือ LG ที่เราคุ้นเคยกันดี
แต่กลับเป็นบริษัทที่เมื่อ 10 ปีก่อน คนส่วนใหญ่ยังอ่านชื่อไม่ออกด้วยซ้ำอย่าง Hisense
แบรนด์ที่เริ่มต้นในปี 1969 ในฐานะโรงงานวิทยุเล็ก ๆ ในเมืองชิงเต่า ประเทศจีน ซึ่งมีพนักงานเริ่มต้นเพียงแค่ 10 คน
จากโรงงานห้องแถว วันนี้พวกเขากลายเป็นผู้ส่งออกทีวีรายใหญ่อันดับสองของโลก
และที่น่าเจ็บใจที่สุดสำหรับชาวญี่ปุ่นคือ Hisense สามารถบุกเข้าไปยึดครอง “ตลาดญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของ Sony และ Panasonic ได้สำเร็จ โดยครองส่วนแบ่งตลาดไปแล้วกว่า 40%
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวการเติบโตของธุรกิจธรรมดา แต่มันคือการซุ่มโจมตีทางยุทธศาสตร์ที่แยบยลที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกธุรกิจ
คำถามคือ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นดินแดนผู้ให้กำเนิดตำนานอย่าง Sony Trinitron และจอพลาสมาอันลือลั่น
ปล่อยให้แบรนด์สินค้าราคาประหยัดบุกเข้ามาถึงหลังบ้าน แย่งลูกค้า และเขียนกฎของเกมใหม่ได้อย่างไร…
ลองจินตนาการถึงภาพในยุค 1980 ท่ามกลางแฟชั่นทรงผมฟูฟ่องและเสื้อแจ็กเก็ตสีนีออน ในห้องนั่งเล่นมีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล
ทีวี Sony เปิดตัวเทคโนโลยี Trinitron สู่ตลาด ด้วยสีสันที่สดใสและคมชัดจนทำให้ทีวีรุ่นอื่นดูเหมือนกำลังแพร่ภาพมาจากดาวอังคาร
การเป็นเจ้าของทีวีญี่ปุ่นในตอนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการดูรายการโทรทัศน์ แต่มันคือการใช้ชีวิตอยู่ในโลกอนาคต
คุณซื้อมาเครื่องหนึ่งและมั่นใจได้ว่ามันจะทนทานต่อทุกอย่าง ยกเว้นระเบิดนิวเคลียร์…
แต่จุดแข็งนี้เอง ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ
ยักษ์ใหญ่ด้านทีวีของญี่ปุ่นอย่าง Sony และ Panasonic รวมถึง Sharp เริ่มเสพติดตลาดระดับ “พรีเมียม”
พวกเขามุ่งหน้าผลิตรุ่นที่ใหญ่กว่า หรูหรากว่า และแพงกว่า ทั้งจอพลาสมา ดีไซน์บางเฉียบ และเทคโนโลยีชั้นสูงที่ไม่มีใครเทียบได้
แน่นอนว่าเศรษฐีใน New York หรือ London ชื่นชอบมัน
แต่สำหรับครอบครัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา หรืออเมริกาใต้ ที่ไม่สามารถจ่ายเงิน 2,500 ดอลลาร์สำหรับทีวีหนึ่งเครื่อง ญี่ปุ่นกลับมองข้ามพวกเขาไป
ในขณะที่ยักษ์ใหญ่กำลังขัดเงาให้มงกุฎของตัวเอง สตาร์ตอัปเล็ก ๆ ในจีนกำลังเรียนรู้ตำราเล่มนี้อย่างเงียบ ๆ
สตาร์ตอัปรายนั้นคือ Hisense
ย้อนกลับไปตอนก่อตั้ง พวกเขาไม่ได้มีนวัตกรรมเปลี่ยนโลกอะไรเลย ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกคือวิทยุราคาถูกที่เรียกว่า Red Lantern
คติประจำใจของพวกเขาไม่ใช่การปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่เป็นเรื่องง่าย ๆ คือการมอบสิ่งที่ “ใช้งานได้จริง” ให้กับคนธรรมดา
ในช่วงกลางยุค 1980 ทาง Hisense ใช้วิธีที่เรียกว่า “Reverse Engineering” กับทีวีญี่ปุ่น
พวกเขาถอดประกอบมันออกมาเหมือนตัวต่อ Lego เพื่อเรียนรู้กลไกการทำงาน และที่สำคัญกว่านั้นคือ เพื่อดูว่าจะตัดทอนส่วนไหนออกได้บ้างเพื่อให้ราคาทีวีถูกลง
พวกเขาไม่ได้ไล่ล่าความหรูหรา แต่ไล่ล่า “ความคุ้มค่า”
ในขณะที่ญี่ปุ่นตอบสนองคนรวย Hisense กลับเลือกที่จะโอบกอดคนกลุ่มที่เหลือทั้งหมด
พวกเขากลายเป็นทีวีของมหาชน เป็นทีวีที่คุณสามารถซื้อหาได้ เป็นทีวีที่มีวางขายจริงตามร้านค้าโชห่วย ไม่ใช่แค่ในห้างหรู
แม้ภาพจะไม่คมกริบเท่า Sony แต่มันก็ดีพอที่จะดูข่าว ดูละคร และดูฟุตบอลได้รู้เรื่อง
พวกเขาค่อย ๆ สร้างรากฐานขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกธุรกิจมาถึง
วิกฤตการเงินปี 2008
นั่นคือช่วงเวลาที่ตลาดทีวีทั้งโลกพลิกกลับตาลปัตร
Wall Street พังทลาย ราคาน้ำมันพุ่งสูง ผู้คนตกงานเร็วกว่าที่ธุรกิจร้านเช่าวิดีโอจะเจ๊งเสียอีก
ทันใดนั้น ทีวีพลาสมาราคาแพงระยับจาก Panasonic ก็ไม่อยู่ใน list รายการซื้อของใครอีกต่อไป
ครอบครัวต่าง ๆ ไม่ต้องการความหรูหราอีกแล้ว พวกเขาต้องการความอยู่รอด
แทนที่จะไล่ล่าภาพที่คมชัดที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าจะซื้ออะไรได้บ้างโดยไม่ต้องค้างค่าเช่าบ้าน
และนี่คือจุดที่ญี่ปุ่น “พลาดท่า”
Sony ยังคงผลักดันความคมชัดสูงเพื่อความภูมิใจ Panasonic ทุ่มสุดตัวกับโรงงานจอพลาสมาขนาดใหญ่
ในขณะเดียวกัน Hisense มองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ก่อนใคร
พวกเขาไม่ได้พยายามทำให้หน้านักวิจารณ์ในงานเทคโนโลยีประทับใจ แต่พวกเขาสร้างทีวีที่ทำหน้าที่พื้นฐานได้ดีในราคาเพียงครึ่งเดียว
ภาพสวยใช้ได้ เสียงโอเค มีฟีเจอร์อัจฉริยะพอให้สตรีมรายการได้ และที่สำคัญที่สุดคือป้ายราคาที่ไม่ได้ทำให้คนซื้อต้องสำลัก
นั่นคือพลังของ “จังหวะเวลา”
ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังยุ่งอยู่กับการสร้างภาพลักษณ์ Hisense ได้ลงไปคลุกคลีในสนามจริงและเอาชนะใจมวลชน
เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ตลาดก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว ความพรีเมียมไม่ได้เป็นราชาอีกต่อไป แต่ “ความคุ้มค่า” ต่างหากที่ครองเมือง
ญี่ปุ่นปรับตัวช้าเกินไป และหยิ่งทะนงเกินกว่าจะยอมรับว่าผู้คนไม่ได้ต้องการอุปกรณ์ชุบทอง
เมื่อพวกเขามองลงมาจากหอคอยงาช้าง ก็พบว่า Hisense ได้ปักธงล้อมรอบพวกเขาไว้หมดแล้ว…
ส่วนที่น่าทึ่งคือ Hisense ไม่ได้หยุดอยู่แค่การขายของถูก
พวกเขาเรียนรู้ตลอดเวลา ปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน ลงทุนในระบบอัตโนมัติ และลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพ
จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อ Hisense ประกาศเข้าซื้อธุรกิจทีวีส่วนใหญ่ของ Toshiba
ลองคิดดูว่าแบรนด์จีนเข้ากวาดซื้อชิ้นส่วนอาณาจักรอิเล็กทรอนิกส์ในตำนานของญี่ปุ่น
ดีลนี้เปรียบเสมือนการส่งมอบไม้ผลัดของยุคสมัย
ผู้ใช้งานหลายคนยังคงเชื่อมั่นในแบรนด์ Toshiba แต่เมื่อซื้อทีวีรุ่นใหม่มา กลับพบว่าไส้ในคือเทคโนโลยีของ Hisense
และที่น่าตกใจคือ มันทำงานได้ดีกว่ารุ่นเก่าเสียอีก แอปพลิเคชันลื่นไหล ภาพสว่าง และราคาไม่แพง
เมื่อถึงต้นยุค 2020 Hisense ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกรองอีกต่อไป พวกเขากำลังครอบงำญี่ปุ่น
ภายในปี 2024 Hisense ครองส่วนแบ่งตลาดทีวีในญี่ปุ่นกว่า 40% ในขณะที่ Sony และ Panasonic เกาะกลุ่มอยู่ที่ตัวเลขหลักเดียว
จินตนาการดูว่า “ศิษย์” ได้เอาชนะ “อาจารย์” ในถิ่นของตัวเอง
และพวกเขายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น Hisense กลายเป็นผู้เล่นระดับโลกด้วยการทำสิ่งที่ญี่ปุ่นปฏิเสธที่จะทำ
นั่นคือการทำให้เทคโนโลยีขั้นสูง “จับต้องได้”
พวกเขาพัฒนา Laser TV และ ULED ที่มอบคุณสมบัติระดับพรีเมียมในราคาที่คนทั่วไปเอื้อมถึง
ในขณะที่แบรนด์อื่นคุยโวเรื่องเทคโนโลยีในห้องแล็บ Hisense ตั้งคำถามว่าจะทำให้สิ่งนี้มีราคาถูกลงได้อย่างไร
ยกตัวอย่างรุ่น Hisense 116UX ทีวีขนาดยักษ์ 116 นิ้ว
โดยปกติของแบบนี้จะมีราคาแพงกว่ารถยนต์ แต่ Hisense ตั้งราคาต่ำกว่าคู่แข่งจากเกาหลีแบบครึ่งต่อครึ่ง
ทันใดนั้น คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่เคยถูกล็อกไว้ด้วยป้ายราคาระดับหรู
ไม่ใช่แค่เรื่องฮาร์ดแวร์ Hisense ยังเชี่ยวชาญเรื่องการสร้างแบรนด์
ยังจำได้ไหมว่าเห็นชื่อพวกเขาในสนามฟุตบอลโลก FIFA World Cup หรือฟุตบอลยูโร
นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พวกเขาแปะโลโก้ไว้ในงานกีฬาระดับโลก บังคับให้สายตาหลายพันล้านคู่มองเห็น Hisense เคียงคู่กับ Coca-Cola และ Visa
ทันใดนั้น Hisense ก็ไม่ได้ดูราคาถูกอีกต่อไป แต่ดูเหมือนยักษ์ใหญ่ระดับโลก
ในขณะเดียวกัน แบรนด์ญี่ปุ่นยังคงยึดติดกับความหรูหราและไล่ล่าผู้ซื้อเฉพาะกลุ่ม
จอ OLED ของ Sony ยังคงดูสวยงาม แต่จะมีสักกี่คนที่จ่ายเงิน 3,000 ดอลลาร์ไหว ในเมื่อ Hisense เสนอประสิทธิภาพ 90% ของเครื่องนั้นในราคาเพียงครึ่งเดียว
นี่คือความอัจฉริยะของ Hisense พวกเขาทำให้เทคโนโลยีเป็น “ประชาธิปไตย”
พวกเขาไม่ได้คิดค้นล้อรถขึ้นมาใหม่ แต่พวกเขาทำให้มันวิ่งได้เร็วขึ้น ในราคาที่ถูกลง และนำไปวางขายให้ทุกคนเข้าถึงได้
หากบอกใครสักคนในปี 1995 ว่าแบรนด์จีนหน้าใหม่จะครองห้องนั่งเล่นชาวญี่ปุ่น พวกเขาคงจะหัวเราะ…
แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า…
ที่น่าจับตามองไปกว่านั้นคือ Hisense ไม่ได้หยุดแค่ทีวี
พวกเขากำลังขยายไปสู่ตู้เย็น เครื่องล้างจาน เครื่องปรับอากาศ เพื่อสร้างอาณาจักรเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแบบครบวงจร
และหากประวัติศาสตร์บอกอะไรเรา พวกเขาจะทำเหมือนที่ทำกับทีวี
คือตัดราคายักษ์ใหญ่ สร้างความเชื่อมั่นด้วยความทนทาน และแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดเหมือนขโมยในยามวิกาล
เรื่องราวของ Hisense จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโทรทัศน์ แต่มันคือเครื่องเตือนใจสำหรับทุกธุรกิจ
ไม่มี “จักรวรรดิ” ใดยั่งยืนตลอดไป
Sony, Panasonic และ Sharp เผลอหลับในขณะถือพวงมาลัย เพราะมั่นใจในชื่อเสียงเก่าเก็บของตัวเอง
Hisense ไม่ได้แค่ไล่ตามทัน แต่พวกเขาเหยียบคันเร่งแซงหน้าไปแล้ว
บทเรียนสำคัญของเรื่องนี้คือ โลกธุรกิจไม่มีที่ว่างให้กับ “Ego”
แบรนด์ญี่ปุ่นคิดว่าความหรูหราเพียงพอแล้ว พวกเขาคิดว่าผู้คนจะยอมจ่ายแพงเสมอเพียงเพื่อชื่อแบรนด์
แต่โลกได้เปลี่ยนไป ผู้ซื้อต้องการ “คุณค่า” ไม่ใช่ “ความโก้หรู”
กฎของเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น หรือเครื่องซักผ้า แบรนด์ที่ปรับตัวคือผู้ชนะ แบรนด์ที่เพิกเฉยคือผู้แพ้
Hisense เริ่มต้นจากการเป็นมวยรอง เป็นตัวเลือกราคาถูกที่คนล้อเลียน แต่วันนี้พวกเขาเป็นผู้คุมเกม
ดังนั้น ครั้งหน้าที่คุณเดินผ่านแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า ลองมองดูทีวีจอใหญ่ที่มีป้ายราคาน่าตกใจ
แล้วถามตัวเองว่า แบรนด์นี้กำลังปรับตัวเพื่อเรา หรือแค่คิดราคาเพิ่มเพื่ออีโก้ของพวกเขา
เพราะในโลกยุคใหม่ พลังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่โลโก้หรูหราหรือแคมเปญการตลาดพันล้าน
แต่พลังที่แท้จริงอยู่ที่การเข้าใจว่า… ลูกค้าต้องการอะไรกันแน่
และคนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด จะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งต่อไป…
CR
https://www.facebook.com/share/1C2opwycn6/?mibextid=wwXIfr
ใครเป็นผู้ชนะในศึกเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้ 2568 ???📺🖥️
ตรงมุมห้องที่เด่นที่สุด จะมีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ มันคือโทรทัศน์ และเกือบ 100% ของโลโก้ที่แปะอยู่หน้าเครื่องนั้น จะเป็นแบรนด์จากประเทศเดียว
Sony Panasonic Sharp
ในยุคนั้น การมีทีวี Sony Trinitron เครื่องใหญ่ตั้งอยู่ในบ้าน มันไม่ใช่แค่อุปกรณ์ให้ความบันเทิง แต่มันคือ “หน้าตา” ทางสังคม
มันเปรียบเสมือนการจอดรถ Lexus ไว้หน้าบ้าน หรือการสวมนาฬิกา Rolex ไว้บนข้อมือ
คำว่า “Made in Japan” ในยุคนั้น มีมนต์ขลังที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าคำรับประกันใด ๆ
มันแปลว่าความทนทานชนิดที่เรียกว่า “กันกระสุน” ซื้อวันนี้ อีกยี่สิบปีข้างหน้ามันก็จะยังเปิดติด…
พ่อแม่ในยุคนั้นมักจะอวดกันถึงทีวีเครื่องใหม่ เด็ก ๆ เติบโตมากับการตื่นเช้าวันเสาร์เพื่อดูการ์ตูนผ่านหน้าจอที่คมชัดที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ส่วนช่างซ่อมทีวีน่ะเหรอ แทบจะตกงานเพราะของมันไม่ยอมพัง
แต่ใครจะไปเชื่อว่า เพียงแค่เวลาผ่านไปไม่กี่ทศวรรษ ภาพจำเหล่านั้นจะกลายเป็นเพียงอดีตที่เลือนราง
เมื่อเราตัดภาพมาที่ปี 2025 สถานการณ์กลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิง
ราชันย์แห่งโลกโทรทัศน์ที่เคยผูกขาดความยิ่งใหญ่ ได้ถูกโค่นลงจากบัลลังก์อย่างเงียบๆ
และผู้ที่ก้าวขึ้นมาแทนที่ ไม่ใช่คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อจากเกาหลีใต้อย่าง Samsung หรือ LG ที่เราคุ้นเคยกันดี
แต่กลับเป็นบริษัทที่เมื่อ 10 ปีก่อน คนส่วนใหญ่ยังอ่านชื่อไม่ออกด้วยซ้ำอย่าง Hisense
แบรนด์ที่เริ่มต้นในปี 1969 ในฐานะโรงงานวิทยุเล็ก ๆ ในเมืองชิงเต่า ประเทศจีน ซึ่งมีพนักงานเริ่มต้นเพียงแค่ 10 คน
จากโรงงานห้องแถว วันนี้พวกเขากลายเป็นผู้ส่งออกทีวีรายใหญ่อันดับสองของโลก
และที่น่าเจ็บใจที่สุดสำหรับชาวญี่ปุ่นคือ Hisense สามารถบุกเข้าไปยึดครอง “ตลาดญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของ Sony และ Panasonic ได้สำเร็จ โดยครองส่วนแบ่งตลาดไปแล้วกว่า 40%
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวการเติบโตของธุรกิจธรรมดา แต่มันคือการซุ่มโจมตีทางยุทธศาสตร์ที่แยบยลที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกธุรกิจ
คำถามคือ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นดินแดนผู้ให้กำเนิดตำนานอย่าง Sony Trinitron และจอพลาสมาอันลือลั่น
ปล่อยให้แบรนด์สินค้าราคาประหยัดบุกเข้ามาถึงหลังบ้าน แย่งลูกค้า และเขียนกฎของเกมใหม่ได้อย่างไร…
ลองจินตนาการถึงภาพในยุค 1980 ท่ามกลางแฟชั่นทรงผมฟูฟ่องและเสื้อแจ็กเก็ตสีนีออน ในห้องนั่งเล่นมีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล
ทีวี Sony เปิดตัวเทคโนโลยี Trinitron สู่ตลาด ด้วยสีสันที่สดใสและคมชัดจนทำให้ทีวีรุ่นอื่นดูเหมือนกำลังแพร่ภาพมาจากดาวอังคาร
การเป็นเจ้าของทีวีญี่ปุ่นในตอนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการดูรายการโทรทัศน์ แต่มันคือการใช้ชีวิตอยู่ในโลกอนาคต
คุณซื้อมาเครื่องหนึ่งและมั่นใจได้ว่ามันจะทนทานต่อทุกอย่าง ยกเว้นระเบิดนิวเคลียร์…
แต่จุดแข็งนี้เอง ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ
ยักษ์ใหญ่ด้านทีวีของญี่ปุ่นอย่าง Sony และ Panasonic รวมถึง Sharp เริ่มเสพติดตลาดระดับ “พรีเมียม”
พวกเขามุ่งหน้าผลิตรุ่นที่ใหญ่กว่า หรูหรากว่า และแพงกว่า ทั้งจอพลาสมา ดีไซน์บางเฉียบ และเทคโนโลยีชั้นสูงที่ไม่มีใครเทียบได้
แน่นอนว่าเศรษฐีใน New York หรือ London ชื่นชอบมัน
แต่สำหรับครอบครัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา หรืออเมริกาใต้ ที่ไม่สามารถจ่ายเงิน 2,500 ดอลลาร์สำหรับทีวีหนึ่งเครื่อง ญี่ปุ่นกลับมองข้ามพวกเขาไป
ในขณะที่ยักษ์ใหญ่กำลังขัดเงาให้มงกุฎของตัวเอง สตาร์ตอัปเล็ก ๆ ในจีนกำลังเรียนรู้ตำราเล่มนี้อย่างเงียบ ๆ
สตาร์ตอัปรายนั้นคือ Hisense
ย้อนกลับไปตอนก่อตั้ง พวกเขาไม่ได้มีนวัตกรรมเปลี่ยนโลกอะไรเลย ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกคือวิทยุราคาถูกที่เรียกว่า Red Lantern
คติประจำใจของพวกเขาไม่ใช่การปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่เป็นเรื่องง่าย ๆ คือการมอบสิ่งที่ “ใช้งานได้จริง” ให้กับคนธรรมดา
ในช่วงกลางยุค 1980 ทาง Hisense ใช้วิธีที่เรียกว่า “Reverse Engineering” กับทีวีญี่ปุ่น
พวกเขาถอดประกอบมันออกมาเหมือนตัวต่อ Lego เพื่อเรียนรู้กลไกการทำงาน และที่สำคัญกว่านั้นคือ เพื่อดูว่าจะตัดทอนส่วนไหนออกได้บ้างเพื่อให้ราคาทีวีถูกลง
พวกเขาไม่ได้ไล่ล่าความหรูหรา แต่ไล่ล่า “ความคุ้มค่า”
ในขณะที่ญี่ปุ่นตอบสนองคนรวย Hisense กลับเลือกที่จะโอบกอดคนกลุ่มที่เหลือทั้งหมด
พวกเขากลายเป็นทีวีของมหาชน เป็นทีวีที่คุณสามารถซื้อหาได้ เป็นทีวีที่มีวางขายจริงตามร้านค้าโชห่วย ไม่ใช่แค่ในห้างหรู
แม้ภาพจะไม่คมกริบเท่า Sony แต่มันก็ดีพอที่จะดูข่าว ดูละคร และดูฟุตบอลได้รู้เรื่อง
พวกเขาค่อย ๆ สร้างรากฐานขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกธุรกิจมาถึง
วิกฤตการเงินปี 2008
นั่นคือช่วงเวลาที่ตลาดทีวีทั้งโลกพลิกกลับตาลปัตร
Wall Street พังทลาย ราคาน้ำมันพุ่งสูง ผู้คนตกงานเร็วกว่าที่ธุรกิจร้านเช่าวิดีโอจะเจ๊งเสียอีก
ทันใดนั้น ทีวีพลาสมาราคาแพงระยับจาก Panasonic ก็ไม่อยู่ใน list รายการซื้อของใครอีกต่อไป
ครอบครัวต่าง ๆ ไม่ต้องการความหรูหราอีกแล้ว พวกเขาต้องการความอยู่รอด
แทนที่จะไล่ล่าภาพที่คมชัดที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าจะซื้ออะไรได้บ้างโดยไม่ต้องค้างค่าเช่าบ้าน
และนี่คือจุดที่ญี่ปุ่น “พลาดท่า”
Sony ยังคงผลักดันความคมชัดสูงเพื่อความภูมิใจ Panasonic ทุ่มสุดตัวกับโรงงานจอพลาสมาขนาดใหญ่
ในขณะเดียวกัน Hisense มองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ก่อนใคร
พวกเขาไม่ได้พยายามทำให้หน้านักวิจารณ์ในงานเทคโนโลยีประทับใจ แต่พวกเขาสร้างทีวีที่ทำหน้าที่พื้นฐานได้ดีในราคาเพียงครึ่งเดียว
ภาพสวยใช้ได้ เสียงโอเค มีฟีเจอร์อัจฉริยะพอให้สตรีมรายการได้ และที่สำคัญที่สุดคือป้ายราคาที่ไม่ได้ทำให้คนซื้อต้องสำลัก
นั่นคือพลังของ “จังหวะเวลา”
ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังยุ่งอยู่กับการสร้างภาพลักษณ์ Hisense ได้ลงไปคลุกคลีในสนามจริงและเอาชนะใจมวลชน
เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ตลาดก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว ความพรีเมียมไม่ได้เป็นราชาอีกต่อไป แต่ “ความคุ้มค่า” ต่างหากที่ครองเมือง
ญี่ปุ่นปรับตัวช้าเกินไป และหยิ่งทะนงเกินกว่าจะยอมรับว่าผู้คนไม่ได้ต้องการอุปกรณ์ชุบทอง
เมื่อพวกเขามองลงมาจากหอคอยงาช้าง ก็พบว่า Hisense ได้ปักธงล้อมรอบพวกเขาไว้หมดแล้ว…
ส่วนที่น่าทึ่งคือ Hisense ไม่ได้หยุดอยู่แค่การขายของถูก
พวกเขาเรียนรู้ตลอดเวลา ปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน ลงทุนในระบบอัตโนมัติ และลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพ
จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อ Hisense ประกาศเข้าซื้อธุรกิจทีวีส่วนใหญ่ของ Toshiba
ลองคิดดูว่าแบรนด์จีนเข้ากวาดซื้อชิ้นส่วนอาณาจักรอิเล็กทรอนิกส์ในตำนานของญี่ปุ่น
ดีลนี้เปรียบเสมือนการส่งมอบไม้ผลัดของยุคสมัย
ผู้ใช้งานหลายคนยังคงเชื่อมั่นในแบรนด์ Toshiba แต่เมื่อซื้อทีวีรุ่นใหม่มา กลับพบว่าไส้ในคือเทคโนโลยีของ Hisense
และที่น่าตกใจคือ มันทำงานได้ดีกว่ารุ่นเก่าเสียอีก แอปพลิเคชันลื่นไหล ภาพสว่าง และราคาไม่แพง
เมื่อถึงต้นยุค 2020 Hisense ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกรองอีกต่อไป พวกเขากำลังครอบงำญี่ปุ่น
ภายในปี 2024 Hisense ครองส่วนแบ่งตลาดทีวีในญี่ปุ่นกว่า 40% ในขณะที่ Sony และ Panasonic เกาะกลุ่มอยู่ที่ตัวเลขหลักเดียว
จินตนาการดูว่า “ศิษย์” ได้เอาชนะ “อาจารย์” ในถิ่นของตัวเอง
และพวกเขายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น Hisense กลายเป็นผู้เล่นระดับโลกด้วยการทำสิ่งที่ญี่ปุ่นปฏิเสธที่จะทำ
นั่นคือการทำให้เทคโนโลยีขั้นสูง “จับต้องได้”
พวกเขาพัฒนา Laser TV และ ULED ที่มอบคุณสมบัติระดับพรีเมียมในราคาที่คนทั่วไปเอื้อมถึง
ในขณะที่แบรนด์อื่นคุยโวเรื่องเทคโนโลยีในห้องแล็บ Hisense ตั้งคำถามว่าจะทำให้สิ่งนี้มีราคาถูกลงได้อย่างไร
ยกตัวอย่างรุ่น Hisense 116UX ทีวีขนาดยักษ์ 116 นิ้ว
โดยปกติของแบบนี้จะมีราคาแพงกว่ารถยนต์ แต่ Hisense ตั้งราคาต่ำกว่าคู่แข่งจากเกาหลีแบบครึ่งต่อครึ่ง
ทันใดนั้น คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่เคยถูกล็อกไว้ด้วยป้ายราคาระดับหรู
ไม่ใช่แค่เรื่องฮาร์ดแวร์ Hisense ยังเชี่ยวชาญเรื่องการสร้างแบรนด์
ยังจำได้ไหมว่าเห็นชื่อพวกเขาในสนามฟุตบอลโลก FIFA World Cup หรือฟุตบอลยูโร
นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พวกเขาแปะโลโก้ไว้ในงานกีฬาระดับโลก บังคับให้สายตาหลายพันล้านคู่มองเห็น Hisense เคียงคู่กับ Coca-Cola และ Visa
ทันใดนั้น Hisense ก็ไม่ได้ดูราคาถูกอีกต่อไป แต่ดูเหมือนยักษ์ใหญ่ระดับโลก
ในขณะเดียวกัน แบรนด์ญี่ปุ่นยังคงยึดติดกับความหรูหราและไล่ล่าผู้ซื้อเฉพาะกลุ่ม
จอ OLED ของ Sony ยังคงดูสวยงาม แต่จะมีสักกี่คนที่จ่ายเงิน 3,000 ดอลลาร์ไหว ในเมื่อ Hisense เสนอประสิทธิภาพ 90% ของเครื่องนั้นในราคาเพียงครึ่งเดียว
นี่คือความอัจฉริยะของ Hisense พวกเขาทำให้เทคโนโลยีเป็น “ประชาธิปไตย”
พวกเขาไม่ได้คิดค้นล้อรถขึ้นมาใหม่ แต่พวกเขาทำให้มันวิ่งได้เร็วขึ้น ในราคาที่ถูกลง และนำไปวางขายให้ทุกคนเข้าถึงได้
หากบอกใครสักคนในปี 1995 ว่าแบรนด์จีนหน้าใหม่จะครองห้องนั่งเล่นชาวญี่ปุ่น พวกเขาคงจะหัวเราะ…
แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า…
ที่น่าจับตามองไปกว่านั้นคือ Hisense ไม่ได้หยุดแค่ทีวี
พวกเขากำลังขยายไปสู่ตู้เย็น เครื่องล้างจาน เครื่องปรับอากาศ เพื่อสร้างอาณาจักรเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแบบครบวงจร
และหากประวัติศาสตร์บอกอะไรเรา พวกเขาจะทำเหมือนที่ทำกับทีวี
คือตัดราคายักษ์ใหญ่ สร้างความเชื่อมั่นด้วยความทนทาน และแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดเหมือนขโมยในยามวิกาล
เรื่องราวของ Hisense จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโทรทัศน์ แต่มันคือเครื่องเตือนใจสำหรับทุกธุรกิจ
ไม่มี “จักรวรรดิ” ใดยั่งยืนตลอดไป
Sony, Panasonic และ Sharp เผลอหลับในขณะถือพวงมาลัย เพราะมั่นใจในชื่อเสียงเก่าเก็บของตัวเอง
Hisense ไม่ได้แค่ไล่ตามทัน แต่พวกเขาเหยียบคันเร่งแซงหน้าไปแล้ว
บทเรียนสำคัญของเรื่องนี้คือ โลกธุรกิจไม่มีที่ว่างให้กับ “Ego”
แบรนด์ญี่ปุ่นคิดว่าความหรูหราเพียงพอแล้ว พวกเขาคิดว่าผู้คนจะยอมจ่ายแพงเสมอเพียงเพื่อชื่อแบรนด์
แต่โลกได้เปลี่ยนไป ผู้ซื้อต้องการ “คุณค่า” ไม่ใช่ “ความโก้หรู”
กฎของเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น หรือเครื่องซักผ้า แบรนด์ที่ปรับตัวคือผู้ชนะ แบรนด์ที่เพิกเฉยคือผู้แพ้
Hisense เริ่มต้นจากการเป็นมวยรอง เป็นตัวเลือกราคาถูกที่คนล้อเลียน แต่วันนี้พวกเขาเป็นผู้คุมเกม
ดังนั้น ครั้งหน้าที่คุณเดินผ่านแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า ลองมองดูทีวีจอใหญ่ที่มีป้ายราคาน่าตกใจ
แล้วถามตัวเองว่า แบรนด์นี้กำลังปรับตัวเพื่อเรา หรือแค่คิดราคาเพิ่มเพื่ออีโก้ของพวกเขา
เพราะในโลกยุคใหม่ พลังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่โลโก้หรูหราหรือแคมเปญการตลาดพันล้าน
แต่พลังที่แท้จริงอยู่ที่การเข้าใจว่า… ลูกค้าต้องการอะไรกันแน่
และคนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด จะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งต่อไป…
CR https://www.facebook.com/share/1C2opwycn6/?mibextid=wwXIfr