ท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า
ในระยะแรกนั้น ท่านเคยเข้าใจว่า จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น แล้วดับไป จากนั้นจิตอีกดวงหนึ่งจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป เป็นคนละดวงกัน
ต่อมาภายหลัง เมื่อท่านพิจารณาเห็นชัดยิ่งขึ้น จึงตระหนักว่า ความเข้าใจเช่นนั้นอาจทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด ท่านจึงออกมากล่าวขอโทษ และแก้ไขคำอธิบายที่ท่านเคยกล่าวไว้
คำว่า “จิตเกิด–ดับ” แท้จริงแล้ว มิได้หมายถึงจิตคนละดวงเกิดขึ้นสลับกันไป
แต่หมายถึงว่า จิตทำงาน (เกิด) และ จิตหยุดทำงาน (ดับ) เท่านั้น
โดยเนื้อแท้แล้ว ยังคงเป็นจิตดวงเดิม
อุปมาให้เห็นชัด เช่น
เมื่อ ภาพของทะเลกระทบตา เกิดการรับรู้ผ่านทางตา วิญญาณส่งสัญญาณมาที่จิต จิตรับรู้ภาพนั้น นี่เรียกว่า จิตเกิด
เพียงชั่วขณะถัดมา เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ผ่านเข้าทางหู วิญญาณส่งสัญญาณมาที่จิตอีกครั้ง จิตละการรับรู้ภาพ แล้วหันไปรับรู้เสียงแทน การรู้ภาพจึงดับลง และการรู้เสียงเกิดขึ้น
ต่อมาอีกเสี้ยววินาที ภาพกระทบตาอีกครั้ง วิญญาณส่งสัญญาณมาที่จิต จิตหันกลับไปรับรู้ภาพ เสียงที่รับรู้อยู่ก่อนหน้าก็ดับลง
อาการเช่นนี้เอง ที่เรียกว่า จิตเกิด–จิตดับ
มิใช่ว่ามีจิตหลายดวง แต่เป็น จิตดวงเดียว เปลี่ยนอารมณ์การรับรู้ไปมาอย่างรวดเร็ว
อุปมาเหมือน แสงหิ่งห้อย หรือหลอดไฟที่กระพริบ
แสงที่เห็นเหมือนเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้ว ตัวหิ่งห้อยและหลอดไฟยังเป็นดวงเดิม
การเกิดดับเป็นเพียงอาการของแสง มิใช่การเปลี่ยนตัวตน
ฉันใดก็ฉันนั้น
การเกิดและการดับ เป็นเพียงอาการของจิต
ท่านจึงกล่าวว่า จิตไม่เที่ยง
แต่เมื่อจิต รวมเป็นอัปปนาสมาธิ หรือเป็น จิตของพระอรหันต์
จิตนั้นตั้งมั่นแน่วแน่ ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนอารมณ์
จึงปรากฏเป็น จิตดวงเดียว ไม่เกิดไม่ดับ
ท่านพุทธทาสเคยเข้าใจผิดเรื่องจิตเกิด-ดับ
ในระยะแรกนั้น ท่านเคยเข้าใจว่า จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น แล้วดับไป จากนั้นจิตอีกดวงหนึ่งจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป เป็นคนละดวงกัน
ต่อมาภายหลัง เมื่อท่านพิจารณาเห็นชัดยิ่งขึ้น จึงตระหนักว่า ความเข้าใจเช่นนั้นอาจทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด ท่านจึงออกมากล่าวขอโทษ และแก้ไขคำอธิบายที่ท่านเคยกล่าวไว้
คำว่า “จิตเกิด–ดับ” แท้จริงแล้ว มิได้หมายถึงจิตคนละดวงเกิดขึ้นสลับกันไป
แต่หมายถึงว่า จิตทำงาน (เกิด) และ จิตหยุดทำงาน (ดับ) เท่านั้น
โดยเนื้อแท้แล้ว ยังคงเป็นจิตดวงเดิม
อุปมาให้เห็นชัด เช่น
เมื่อ ภาพของทะเลกระทบตา เกิดการรับรู้ผ่านทางตา วิญญาณส่งสัญญาณมาที่จิต จิตรับรู้ภาพนั้น นี่เรียกว่า จิตเกิด
เพียงชั่วขณะถัดมา เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ผ่านเข้าทางหู วิญญาณส่งสัญญาณมาที่จิตอีกครั้ง จิตละการรับรู้ภาพ แล้วหันไปรับรู้เสียงแทน การรู้ภาพจึงดับลง และการรู้เสียงเกิดขึ้น
ต่อมาอีกเสี้ยววินาที ภาพกระทบตาอีกครั้ง วิญญาณส่งสัญญาณมาที่จิต จิตหันกลับไปรับรู้ภาพ เสียงที่รับรู้อยู่ก่อนหน้าก็ดับลง
อาการเช่นนี้เอง ที่เรียกว่า จิตเกิด–จิตดับ
มิใช่ว่ามีจิตหลายดวง แต่เป็น จิตดวงเดียว เปลี่ยนอารมณ์การรับรู้ไปมาอย่างรวดเร็ว
อุปมาเหมือน แสงหิ่งห้อย หรือหลอดไฟที่กระพริบ
แสงที่เห็นเหมือนเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้ว ตัวหิ่งห้อยและหลอดไฟยังเป็นดวงเดิม
การเกิดดับเป็นเพียงอาการของแสง มิใช่การเปลี่ยนตัวตน
ฉันใดก็ฉันนั้น
การเกิดและการดับ เป็นเพียงอาการของจิต
ท่านจึงกล่าวว่า จิตไม่เที่ยง
แต่เมื่อจิต รวมเป็นอัปปนาสมาธิ หรือเป็น จิตของพระอรหันต์
จิตนั้นตั้งมั่นแน่วแน่ ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนอารมณ์
จึงปรากฏเป็น จิตดวงเดียว ไม่เกิดไม่ดับ