จิตเกิด-ดับ อย่างไร
ผม : ขอโอกาสครับพระอาจารย์ผมชอบถกกับเพื่อนนักปฏิบัติธรรมด้วยกัน เค้าจะเชื่อว่าจิตเกิด-ดับเป็นคนละดวงกัน คือ ดวงนึงเกิดขึ้นดวงนึงดับไปตลอดเวลาและเค้าก็ยังเชื่ออีกว่าเมื่อจิตเข้าสู่นิพพานแล้วจิตจะต้องดับสลายหายไปเหลือแต่ความว่าง เขาก็เชื่ออีกว่าจิต คือ วิญญาณขันธ์ในขันธ์ 5
ผมก็จะถกกับเขาว่าไม่ใช่เพราะว่าธาตุรู้ไม่มีวันตาย
พระอาจารย์สุชาติ : จิตก็เหมือนหลอดไฟฟ้าเวลาเปิดมันก็ติดขึ้นมา เวลาปิดมันก็ดับไปแล้วหลอดหายหรือเปล่าหลอดก็ยังอยู่เหมือนเดิม
จิตที่เกิด-ดับ คือ อารมณ์ของจิตไงเดี๋ยวเศร้าหมอง เดี๋ยวเสียใจเสียใจ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวซึมเศร้าอะไรต่างๆ มันเกิด-ดับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ตัวจิตที่มันอาศัยอยู่มันไม่เกิด-ดับ ตัวจิตนี้มันไม่ดับเป็นเหมือนหลอดไฟ ตัวอย่าง เช่น หิงห้อยเคยเห็นแสงหิงห้อยไหมมันก็มีแสงติด-ดับ ติด-ดับแต่หิ่งห้อยไม่ได้ตายกับการเกิด-ดับของแสง
เวลาจิตสะอาดบริสุทธิ์เป็นนิพพานขึ้นมา ก็ หมายถึงจิตบริสุทธิ์ ตัวอย่าฃงเช่นหลอดไฟฟ้าที่เราใช้ เวลามันเปื้อนมันมีฝุ่นมีอะไรมาเกาะพอเราเอาผ้าเอาน้ำมาเช็ดออกไปตัวหลอดไฟหายไปหรือเปล่า เวลาเราทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ให้เป็นนิพพานขึ้นมานี้จิตใจก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่อยู่แบบบรมสุข ตัวที่ทำให้จิตทุกข์ คือ กิเลสเครื่องเศร้าหมองต่างๆ ได้ถูกกำจัดด้วยการซักฟอกจากการปฎิบัติศีล สมาธิ ปัญญา
เรื่องเหล่านี้อย่าไปเถียงกันให้เสียเวลาเลยเหมือนคนตาบอดห้าคนมาเถียงกันเคยได้ยินนิทานคนตาบอดไหมคนนึงไปคลำช้างที่ท้อง ก็บอกว่าช้างนี่มันเหมือนกำแพง อีกคนไปจับที่หางก็บอกว่าไม่ใช่มัน คือ เชือก อีกคนไปจับงวงก็บอกว่าไม่ใช่มัน คืองู อีคนไปจับขี้งาก็บอกว่ามันเป็นหอก ก็ถูกทั้งนั้นน่ะแต่ไม่ถูกตามความเป็นจริงของช้าง
อันนี้ก็เหมือนกันเค้าก็ว่าของเค้าถูกก็ปล่อยเขาไปอย่าไปเถียงให้เหนื่อยเลยเรามาเถียงตัวเราดีกว่า ให้เห็นตามความเป็นจริงตามพระพุทธเจ้าสอนดีกว่า
ผม : ขออีกข้อหนึ่งครับพระอาจารย์เวลานั่งสมาธิแล้วจิตสงบแล้วจิตมันอิ่มเอิบเหมือนเรากินข้าวอิ่มไปแล้วไม่อยากนั่งต่อควรทำอย่างไรต่อดีครับ
พระอาจารย์สุชาติ : ถ้าเรามีอะไรต้องทำก็ทำต่อแต่ถ้าเราเป็นนักปฎิบัติธรรมก็เปลี่ยนไปเดินจงกรมแทนแล้วใช้สติประคับประคองความอิ่มเอิบนั้น ให้มันอยู่ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ถ้ามันหิวอีกเราก็กลับเข้าไปในสมาธิใหม่ ปฏิบัติแบบนี้ สลับไปทั้งวันทั้งคืนทำแบบนักปฎิบัติเป้าหมายก็ คือ รักษาความอิ่มเอิบของใจให้อยู่ไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ทั้งในขณะที่เข้าสมาธิและเวลาที่ออกจากสมาธิ ต่อไปถ้าเรามีปัญญาก็จะสามารถรักษาความอิ่มเอิบได้ด้วยปัญญา ต่อไปก็จะอิ่มเอิบเป็นบรมสุขตลอดเวลา
จิตเกิด-ดับ อย่างไร
ผม : ขอโอกาสครับพระอาจารย์ผมชอบถกกับเพื่อนนักปฏิบัติธรรมด้วยกัน เค้าจะเชื่อว่าจิตเกิด-ดับเป็นคนละดวงกัน คือ ดวงนึงเกิดขึ้นดวงนึงดับไปตลอดเวลาและเค้าก็ยังเชื่ออีกว่าเมื่อจิตเข้าสู่นิพพานแล้วจิตจะต้องดับสลายหายไปเหลือแต่ความว่าง เขาก็เชื่ออีกว่าจิต คือ วิญญาณขันธ์ในขันธ์ 5
ผมก็จะถกกับเขาว่าไม่ใช่เพราะว่าธาตุรู้ไม่มีวันตาย
พระอาจารย์สุชาติ : จิตก็เหมือนหลอดไฟฟ้าเวลาเปิดมันก็ติดขึ้นมา เวลาปิดมันก็ดับไปแล้วหลอดหายหรือเปล่าหลอดก็ยังอยู่เหมือนเดิม
จิตที่เกิด-ดับ คือ อารมณ์ของจิตไงเดี๋ยวเศร้าหมอง เดี๋ยวเสียใจเสียใจ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวซึมเศร้าอะไรต่างๆ มันเกิด-ดับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ตัวจิตที่มันอาศัยอยู่มันไม่เกิด-ดับ ตัวจิตนี้มันไม่ดับเป็นเหมือนหลอดไฟ ตัวอย่าง เช่น หิงห้อยเคยเห็นแสงหิงห้อยไหมมันก็มีแสงติด-ดับ ติด-ดับแต่หิ่งห้อยไม่ได้ตายกับการเกิด-ดับของแสง
เวลาจิตสะอาดบริสุทธิ์เป็นนิพพานขึ้นมา ก็ หมายถึงจิตบริสุทธิ์ ตัวอย่าฃงเช่นหลอดไฟฟ้าที่เราใช้ เวลามันเปื้อนมันมีฝุ่นมีอะไรมาเกาะพอเราเอาผ้าเอาน้ำมาเช็ดออกไปตัวหลอดไฟหายไปหรือเปล่า เวลาเราทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ให้เป็นนิพพานขึ้นมานี้จิตใจก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่อยู่แบบบรมสุข ตัวที่ทำให้จิตทุกข์ คือ กิเลสเครื่องเศร้าหมองต่างๆ ได้ถูกกำจัดด้วยการซักฟอกจากการปฎิบัติศีล สมาธิ ปัญญา
เรื่องเหล่านี้อย่าไปเถียงกันให้เสียเวลาเลยเหมือนคนตาบอดห้าคนมาเถียงกันเคยได้ยินนิทานคนตาบอดไหมคนนึงไปคลำช้างที่ท้อง ก็บอกว่าช้างนี่มันเหมือนกำแพง อีกคนไปจับที่หางก็บอกว่าไม่ใช่มัน คือ เชือก อีกคนไปจับงวงก็บอกว่าไม่ใช่มัน คืองู อีคนไปจับขี้งาก็บอกว่ามันเป็นหอก ก็ถูกทั้งนั้นน่ะแต่ไม่ถูกตามความเป็นจริงของช้าง
อันนี้ก็เหมือนกันเค้าก็ว่าของเค้าถูกก็ปล่อยเขาไปอย่าไปเถียงให้เหนื่อยเลยเรามาเถียงตัวเราดีกว่า ให้เห็นตามความเป็นจริงตามพระพุทธเจ้าสอนดีกว่า
ผม : ขออีกข้อหนึ่งครับพระอาจารย์เวลานั่งสมาธิแล้วจิตสงบแล้วจิตมันอิ่มเอิบเหมือนเรากินข้าวอิ่มไปแล้วไม่อยากนั่งต่อควรทำอย่างไรต่อดีครับ
พระอาจารย์สุชาติ : ถ้าเรามีอะไรต้องทำก็ทำต่อแต่ถ้าเราเป็นนักปฎิบัติธรรมก็เปลี่ยนไปเดินจงกรมแทนแล้วใช้สติประคับประคองความอิ่มเอิบนั้น ให้มันอยู่ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ถ้ามันหิวอีกเราก็กลับเข้าไปในสมาธิใหม่ ปฏิบัติแบบนี้ สลับไปทั้งวันทั้งคืนทำแบบนักปฎิบัติเป้าหมายก็ คือ รักษาความอิ่มเอิบของใจให้อยู่ไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ทั้งในขณะที่เข้าสมาธิและเวลาที่ออกจากสมาธิ ต่อไปถ้าเรามีปัญญาก็จะสามารถรักษาความอิ่มเอิบได้ด้วยปัญญา ต่อไปก็จะอิ่มเอิบเป็นบรมสุขตลอดเวลา