สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ยตามคาด พร้อมกลับมาเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรเดือนละ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ข้อมูลจาก CME FedWatch บ่งชี้ว่าในปี 2026 ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง นั่นหมายความว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่วัฏจักรการเงินผ่อนคลายรอบใหม่อย่างเป็นทางการ
ภายใต้บริบทนี้ ราคาทองคำปรับขึ้นแล้วกว่า 18% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ราคาน้ำมันกลับลดลงราว 7% จากความต้องการที่ชะลอตัว ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐไม่ได้ขึ้นพร้อมกันทั้งหมด แต่เกิด “การแยกตัว” อย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม
บทวิเคราะห์ชุด “เห็นสัญญาณก่อนตลาด” โดยผู้เชี่ยวชาญ ชี้ว่าการทำความเข้าใจตลาดรอบนี้ ต้องมองผ่าน ตัวแปรหลัก 7 ตัวของระบบการเงินโลก ได้แก่
ดอลลาร์สหรัฐ, พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ, หุ้นสหรัฐ, ทองคำ, น้ำมัน, เงินหยวน และเงินเยน
ซึ่งสะท้อนสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยง เงินทุนเคลื่อนย้าย และโครงสร้างเลเวอเรจของตลาด และสามารถสรุปออกมาเป็น 3 โครงสร้างหลัก (3 Main Themes)
โครงสร้างที่ 1: พันธบัตรสหรัฐ – หุ้นสหรัฐ – ดอลลาร์
“สามเสาหลักของระบบการเงินโลก”
ระบบเศรษฐกิจโลกยังคงขับเคลื่อนด้วยดอลลาร์เป็นศูนย์กลาง การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจึงส่งผลต่อการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ทั่วโลกโดยตรง
ล่าสุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ลดลงมาแถว 3.2% ช่วยดัน Valuation ตลาดหุ้นขึ้นอย่างชัดเจน ดัชนี S&P 500 มีค่า P/E ขยายจาก 18 เท่าเป็นกว่า 21 เท่า ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง NVIDIA ปรับขึ้นมากกว่า 60% ตั้งแต่ต้นปี
ตลาดหุ้นสหรัฐจึงไม่ใช่แค่สะท้อนเศรษฐกิจ แต่ยังเป็น สัญญาณนำของธีมอุตสาหกรรมโลก เช่น AI, เทคโนโลยีขั้นสูง และมักส่งแรงกระเพื่อมไปยังตลาดหุ้นประเทศอื่น รวมถึงตลาดไทยผ่าน Fund Flow
โครงสร้างที่ 2: ทองคำ – น้ำมัน
“ตัวค้ำมูลค่าของเศรษฐกิจจริง”
ทองคำและน้ำมัน เป็นสินทรัพย์หลักที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ และทำหน้าที่เป็น “หลักยึดมูลค่า” ของเศรษฐกิจจริง
ทองคำ เป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อและความเสี่ยง เมื่อเศรษฐกิจชะลอ ความไม่แน่นอนสูง และนโยบายการเงินผ่อนคลาย ราคาทองมักปรับขึ้น
น้ำมัน เป็นสินทรัพย์เชิงวัฏจักร สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวแรง น้ำมันมักขึ้นตาม
ความแตกต่างของทิศทางทองขึ้น แต่น้ำมันลงในรอบนี้ สะท้อนว่า สภาพคล่องสูง แต่ดีมานด์จริงยังไม่ฟื้นเต็มที่ ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่นักลงทุนไทยควรจับตา
โครงสร้างที่ 3: สกุลเงินเอเชีย และโครงสร้างเลเวอเรจโลก
“ตัวแปรท้าทายระบบดอลลาร์”
การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย ทำให้สกุลเงินนอกดอลลาร์มีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะ เงินหยวนและเงินเยน
จีนช่วยพยุงความเชื่อมั่นของตลาดเกิดใหม่
เงินเยนยังอ่อนค่า แต่แนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยของญี่ปุ่น อาจทำให้เยนแข็งค่าเป็นช่วง ๆ
ประเด็นสำคัญคือ เยนเคยเป็นแหล่งเงินกู้ต้นทุนต่ำของโลก (
Yen Carry Trade)
เมื่อดอกเบี้ยญี่ปุ่นขยับขึ้น ต้นทุนเลเวอเรจโลกจะสูงขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นโดยเฉพาะกลุ่ม High Beta ผันผวนมากขึ้นในระยะสั้น
ภาพรวมโครงสร้างตลาดปัจจุบัน (ที่ไทยควรรู้)
สภาพคล่องพยุงตลาด – งบดุล Fed กลับมาใกล้ 9 ล้านล้านดอลลาร์
กำไรนำตลาด – หุ้นเทคโนโลยีกำไรโต ~15% สูงกว่าค่าเฉลี่ย
เงินฝืดฝั่งอุปทาน – กำลังการผลิตล้น ความต้องการโตช้า
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
EBC Financial Group | โบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลระดับสากล
เห็นสัญญาณก่อนตลาด: จับจุดเปลี่ยนด้วย 3 โครงสร้างตลาดโลก
ภายใต้บริบทนี้ ราคาทองคำปรับขึ้นแล้วกว่า 18% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ราคาน้ำมันกลับลดลงราว 7% จากความต้องการที่ชะลอตัว ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐไม่ได้ขึ้นพร้อมกันทั้งหมด แต่เกิด “การแยกตัว” อย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม
บทวิเคราะห์ชุด “เห็นสัญญาณก่อนตลาด” โดยผู้เชี่ยวชาญ ชี้ว่าการทำความเข้าใจตลาดรอบนี้ ต้องมองผ่าน ตัวแปรหลัก 7 ตัวของระบบการเงินโลก ได้แก่
ดอลลาร์สหรัฐ, พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ, หุ้นสหรัฐ, ทองคำ, น้ำมัน, เงินหยวน และเงินเยน
ซึ่งสะท้อนสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยง เงินทุนเคลื่อนย้าย และโครงสร้างเลเวอเรจของตลาด และสามารถสรุปออกมาเป็น 3 โครงสร้างหลัก (3 Main Themes)
โครงสร้างที่ 1: พันธบัตรสหรัฐ – หุ้นสหรัฐ – ดอลลาร์
“สามเสาหลักของระบบการเงินโลก”
ระบบเศรษฐกิจโลกยังคงขับเคลื่อนด้วยดอลลาร์เป็นศูนย์กลาง การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจึงส่งผลต่อการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ทั่วโลกโดยตรง
ล่าสุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ลดลงมาแถว 3.2% ช่วยดัน Valuation ตลาดหุ้นขึ้นอย่างชัดเจน ดัชนี S&P 500 มีค่า P/E ขยายจาก 18 เท่าเป็นกว่า 21 เท่า ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง NVIDIA ปรับขึ้นมากกว่า 60% ตั้งแต่ต้นปี
ตลาดหุ้นสหรัฐจึงไม่ใช่แค่สะท้อนเศรษฐกิจ แต่ยังเป็น สัญญาณนำของธีมอุตสาหกรรมโลก เช่น AI, เทคโนโลยีขั้นสูง และมักส่งแรงกระเพื่อมไปยังตลาดหุ้นประเทศอื่น รวมถึงตลาดไทยผ่าน Fund Flow
โครงสร้างที่ 2: ทองคำ – น้ำมัน
“ตัวค้ำมูลค่าของเศรษฐกิจจริง”
ทองคำและน้ำมัน เป็นสินทรัพย์หลักที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ และทำหน้าที่เป็น “หลักยึดมูลค่า” ของเศรษฐกิจจริง
ทองคำ เป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อและความเสี่ยง เมื่อเศรษฐกิจชะลอ ความไม่แน่นอนสูง และนโยบายการเงินผ่อนคลาย ราคาทองมักปรับขึ้น
น้ำมัน เป็นสินทรัพย์เชิงวัฏจักร สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวแรง น้ำมันมักขึ้นตาม
ความแตกต่างของทิศทางทองขึ้น แต่น้ำมันลงในรอบนี้ สะท้อนว่า สภาพคล่องสูง แต่ดีมานด์จริงยังไม่ฟื้นเต็มที่ ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่นักลงทุนไทยควรจับตา
โครงสร้างที่ 3: สกุลเงินเอเชีย และโครงสร้างเลเวอเรจโลก
“ตัวแปรท้าทายระบบดอลลาร์”
การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย ทำให้สกุลเงินนอกดอลลาร์มีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะ เงินหยวนและเงินเยน
จีนช่วยพยุงความเชื่อมั่นของตลาดเกิดใหม่
เงินเยนยังอ่อนค่า แต่แนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยของญี่ปุ่น อาจทำให้เยนแข็งค่าเป็นช่วง ๆ
ประเด็นสำคัญคือ เยนเคยเป็นแหล่งเงินกู้ต้นทุนต่ำของโลก (Yen Carry Trade)
เมื่อดอกเบี้ยญี่ปุ่นขยับขึ้น ต้นทุนเลเวอเรจโลกจะสูงขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นโดยเฉพาะกลุ่ม High Beta ผันผวนมากขึ้นในระยะสั้น
ภาพรวมโครงสร้างตลาดปัจจุบัน (ที่ไทยควรรู้)
สภาพคล่องพยุงตลาด – งบดุล Fed กลับมาใกล้ 9 ล้านล้านดอลลาร์
กำไรนำตลาด – หุ้นเทคโนโลยีกำไรโต ~15% สูงกว่าค่าเฉลี่ย
เงินฝืดฝั่งอุปทาน – กำลังการผลิตล้น ความต้องการโตช้า
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : EBC Financial Group | โบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลระดับสากล