ภาพรวมตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปี 2025: เงินพุ่งแรง ทองคำทำสถิติใหม่ ส่วนน้ำมันยังอ่อนแรง

ปี 2025 กำลังกลายเป็นหนึ่งในปีที่นักลงทุนจะจดจำไปอีกนาน โดยเฉพาะในฝั่งโลหะมีค่า ราคาเงินและทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล ขณะที่ตลาดพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันดิบ กลับเคลื่อนไหวสวนทางอย่างชัดเจน
เงินพุ่งทะลุระดับประวัติศาสตร์เหนือ 64 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปีเดียว ส่วนทองคำยืนเหนือ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent กลับซบเซาแถว 61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และกำลังเผชิญหนึ่งในปีที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020

วันนี้จะพาไปดูว่า
- ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์หลักอยู่ตรงไหนในปัจจุบัน
- ปัจจัยมหภาคใดที่ขับเคลื่อนทองคำ เงิน และน้ำมัน
- และระดับทางเทคนิคใดที่ยังต้องจับตา หากวางแผนเทรดต่อเนื่องไปถึงปี 2026

ภาพรวมตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปี 2025
ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2025 ภาพรวมตลาดสะท้อน “ความแตกต่างของทิศทาง” อย่างชัดเจน
- ทองคำ (XAU/USD) ซื้อขายใกล้ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังปรับขึ้นราว 50–60% ในปีนี้
- เงิน (XAG/USD) เคลื่อนไหวเหนือ 62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากต้นปี ทำผลงานโดดเด่นกว่าโลหะมีค่าทุกชนิด
- น้ำมันดิบ Brent และ WTI ปรับตัวลงราว 17–18% เมื่อเทียบรายปี สะท้อนแรงกดดันจากอุปทานส่วนเกินและการเติบโตของอุปสงค์ที่จำกัด
เมื่อพิจารณาดัชนีอ้างอิงหลัก จะเห็นว่าตลาดโลหะมีค่าอยู่ใน “ขาขึ้นเชิงโครงสร้าง” ขณะที่ตลาดพลังงานยังติดอยู่ในแนวโน้มอ่อนตัว

ปัจจัยมหภาค: จุดร่วมของทองคำและเงิน
แรงขับเคลื่อนหลักของโลหะมีค่าในปีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการผสานกันของปัจจัยมหภาคหลายด้าน ได้แก่
- ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2025
- ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
- อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ลดลง
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ในระดับสูง
สถาบันอย่าง IEA, EIA และ ING เรียกภาพรวมนี้ว่า “Great Divergence”  ตลาดโลหะมีค่าพุ่งแรง ขณะที่ตลาดพลังงานถูกกดดันจากปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์–อุปทาน

เงิน (Silver): ดาวเด่นของตลาดปี 2025
เงินได้เปลี่ยนบทบาทจากสินทรัพย์ที่เคยเป็นเพียง “การไล่ตามราคา” มาเป็นหนึ่งในธีมมหภาคหลักของตลาดอย่างเต็มตัว
จุดเด่นสำคัญของราคาเงิน
- ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลที่ 64.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
- ราคาปรับขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปีเดียว
- ตลาดฟิวเจอร์สและ ETF สะท้อนแรงเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ทำไมเงินถึงทำผลงานเหนือกว่าทองคำ?
เงินได้รับแรงหนุนจาก “สองด้านพร้อมกัน”
1. ด้านการเงิน: เงินเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับทองคำ เมื่อดอกเบี้ยลดลงและดอลลาร์อ่อนค่า
2. ด้านอุตสาหกรรม: ความต้องการจากแผงโซลาร์เซลล์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีสีเขียวเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปทานเหมืองใหม่เติบโตจำกัด
อย่างไรก็ตาม เงินเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง การย่อตัวลง 10–15% ภายในไม่กี่วัน สามารถเกิดขึ้นได้ แม้แนวโน้มระยะยาวยังเป็นขาขึ้น

ทองคำ: สถิติใหม่ พร้อมสัญญาณเตือน
ทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเดียวกับเงิน แต่ด้วยลักษณะที่ “นิ่งกว่า”
- ราคายืนใกล้ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์
- เคยทำจุดสูงสุดตลอดกาลแถว 4,381 ดอลลาร์
- ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำสุทธิอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) เริ่มส่งสัญญาณเตือนว่า ทั้งทองคำและตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีลักษณะคล้ายภาวะ “ฟองสบู่” จากกระแสเงินของนักลงทุนรายย่อยและความคาดหวังที่เร่งตัวเร็วเกินไป

น้ำมัน: จุดอ่อนของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
เมื่อเทียบกับโลหะมีค่า น้ำมันเป็นสินทรัพย์ที่ตามหลังตลาดอย่างชัดเจน
- WTI ซื้อขายแถว 57–58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
- Brent เคลื่อนไหวบริเวณ 61–62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
- แนวโน้มฟิวเจอร์สสะท้อนภาวะอุปทานส่วนเกิน

ปัจจัยกดดันหลักของน้ำมัน
- การเติบโตของอุปสงค์โลกอยู่ในระดับจำกัด
- การผลิตนอกกลุ่ม OPEC เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- OPEC+ เริ่มผ่อนคลายมาตรการลดกำลังการผลิต
- หน่วยงานอย่าง EIA คาดว่าราคาน้ำมันปี 2026 จะถูกจำกัดใกล้ระดับ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แม้ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นปัจจัยแฝง แต่ตลาดให้ความสำคัญกับข้อมูลอุปสงค์–อุปทานมากกว่าข่าวพาดหัว

มุมมองทางเทคนิค: ระดับที่ต้องจับตา
- ทองคำ (XAU/USD) แนวรับหลัก: 4,220–4,250 แนวต้าน: 4,350–4,380
- เงิน (XAG/USD) แนวรับ: 58–59 / ถัดไป 55–56 แนวต้าน: 62–64 และระดับจิตวิทยา 70
- น้ำมันดิบ WTI แนวรับ: 56–55 แนวต้าน: 60–61
ระดับเหล่านี้ไม่ใช่เส้นตายตัว แต่เป็นกรอบอ้างอิงสำหรับการวางแผนเทรดและบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดอาจผันผวนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และท่าทีของธนาคารกลาง

บทสรุป
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในปี 2025 แสดงให้เห็นความแตกต่างของทิศทางอย่างชัดเจน
- ทองคำและเงิน โดดเด่นจากดอกเบี้ยขาลง ดอลลาร์อ่อนค่า และความต้องการป้องกันความเสี่ยง
- น้ำมัน ยังเผชิญแรงกดดันจากสต็อกที่เพิ่มขึ้นและอุปสงค์ที่เติบโตช้า
สำหรับนักลงทุน ประเด็นสำคัญไม่ใช่การไล่ตามราคา แต่คือการเข้าใจว่า ระดับใดคือแนวรับเชิงโครงสร้างที่แท้จริงของตลาด และบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น

ปล. ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่