ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลดลง โดยดัชนีหลักปรับตัวลงถ้วนหน้า จากความกังวลต่อการลงทุนในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยังคงกดดันราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้น Oracle ปรับตัวลดลง 5.4% หลังมีรายงานว่า Blue Owl Capital ซึ่งเป็นพันธมิตรศูนย์ข้อมูลรายใหญ่ที่สุดของบริษัท จะไม่สนับสนุนข้อตกลงมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ของบริษัท
ด้านหุ้น Amazon.com ปรับตัวลดลง 0.6% หลังมีรายงานว่าบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าลงทุนราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ขณะที่ความกังวลว่าภาคเทคโนโลยีโดยรวมจะต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนา AI ได้บั่นทอนบรรยากาศการรับความเสี่ยงของนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา
หุ้น Nvidia ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญของอุตสาหกรรม AI ร่วงลง 3.8% ขณะที่หุ้นบรอดคอม Broadcom ลดลง 4.5% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มชิปโดยรวมปรับตัวลดลง 3.9%
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,885.97 จุด ลดลง 228.29 จุด หรือ 0.47%
ดัชนี S&P 500 ลดลง 78.83 จุด หรือ 1.16% ปิดที่ 6,721.43 จุด
และดัชนีแนสแด็กคอมโพสิต ลดลง 418.14 จุด หรือ 1.81% ปิดที่ 22,693.32 จุด
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันทั้งหมดที่อยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรซึ่งเข้าและออกจากเวเนซุเอลา ส่งผลให้ความตึงเครียดทางการเมืองโลกเพิ่มขึ้น และช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันดิบล้นตลาด
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ปิดที่ 59.68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 1.3%
ขณะที่น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐฯ ปิดที่ 55.94 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 1.2%
ด้านราคาทองคำปรับตัวแข็งแกร่งขึ้น จากความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่กลับมาอีกครั้ง หลังมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของตลาดแรงงาน รวมถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลา ซึ่งกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
ราคาทองสปอตเพิ่มขึ้น 0.7% มาอยู่ที่ 4,334.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากปรับตัวขึ้นมากกว่า 1% ระหว่างวัน
ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐฯ ปิดเพิ่มขึ้น 1% ที่ระดับ 4,373.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
จับตาทิศทางเฟด อัตราว่างงานพุ่งกระฉูด กดดันนโยบายดอกเบี้ย
KEY POINTS
ความขัดแย้งทางการเมืองและการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐ ทำให้ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ขาดช่วงและมีความคลาดเคลื่อนสูง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจได้ยากลำบาก
อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นแตะ 4.6% และการเติบโตของค่าจ้างชะลอตัวสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่เปลี่ยนจาก "ทรงตัว" ไปสู่ "ย่ำแย่"
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะดูแย่จนน่าจะลดดอกเบี้ย แต่ความไม่น่าเชื่อถือของข้อมูลอาจทำให้เฟดเลือกที่จะ "นิ่งเฉย" ในการประชุมเดือนมกราคม ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจากภาวะ "ชะลอตัว" เข้าสู่ช่วง "วิกฤต" อย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความขัดแย้งทางการเมืองในวอชิงตันที่ทำให้ข้อมูลสถิติสำคัญเลือนราง จนธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) ไม่สามารถประเมินสถานการณ์จริงที่กำลังเกิดขึ้นได้
เศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณอันตราย ว่างงานพุ่ง 4.6%
ตัวเลขว่างงานพุ่งสวนทางความมั่นใจของตลาด
ตามรายงานจาก Bloomberg สถานการณ์
เศรษฐกิจสหรัฐ ล่าสุดสะท้อนผ่านอัตราการว่างงานที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4.6% ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นการไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 4.4% ในเดือนกันยายน
การขยับขึ้นของตัวเลขสถิติในตลาดแรงงานในลักษณะนี้ ควรเป็นสัญญาณให้ เฟด (Fed) พิจารณา ลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทว่าในมุมมองของนักลงทุน ตลาดซื้อขายล่วงหน้ากลับประเมินโอกาสการลดดอกเบี้ยในเดือนมกราคมไว้เพียง 25% เท่านั้น สะท้อนว่า ตลาดยังไม่กล้าฟันธงทิศทาง เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับมีความคลาดเคลื่อนสูงจากปัญหาการชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐในช่วงที่ผ่านมา
พิษ Shutdown ทำสถิติจ้างงานรวน
เจาะไส้ในตลาดแรงงาน สัญญาณลบที่ปกคลุมทั่วทุกอุตสาหกรรม
นอกเหนือจากตัวเลขอัตราการว่างงานแล้ว ยังมีสัญญาณลบอื่นที่น่าจับตามอง เมื่อพิจารณาในรายละเอียด
ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรมีความผันผวนอย่างรุนแรง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงการปรับโครงสร้างบุคลากรภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้จะตัดปัจจัยชั่วคราวข้างต้นออกไป ภาพรวมของ วิกฤตแรงงาน ก็ยังดูไม่สู้ดีนัก
ภาคการผลิตและขนส่ง: ยังคงอยู่ในภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่อง
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ: ชะลอตัวลงเหลือ 3.5% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่กลางปี 2021
กลุ่มงานพาร์ทไทม์: จำนวนผู้ที่ต้องทำงานพาร์ทไทม์เพราะหางานประจำไม่ได้ พุ่งสูงถึง 5.5 ล้านคน
น่าสนใจว่าจากกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก 11 ประเภท มีเพียงภาคสันทนาการและการบริการ, ภาคการศึกษาและบริการสุขภาพ และภาคการก่อสร้างเท่านั้นที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
โดยเฉพาะภาคการก่อสร้างที่ได้อานิสงส์จากกระแสการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพื่อรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่ภาพรวมส่วนใหญ่กลับบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐ กำลังสูญเสียแรงขับเคลื่อนสำคัญ
เฟดขาดเข็มทิศชี้วัดเศรษฐกิจ แบกความเสี่ยงตัดสินนโยบายดอกเบี้ย
อุปสรรคที่ทำให้การวางแผน นโยบายการเงิน ติดขัด คือความไม่ต่อเนื่องของข้อมูลจากการ ชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ จนทำให้สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ไม่สามารถเก็บข้อมูลเดือนตุลาคมได้ การประเมินแนวโน้มขาดความต่อเนื่อง
นอกจากนี้ BLS ยังระบุว่าอัตราการตอบแบบสำรวจในเดือนพฤศจิกายนยังลดต่ำลงกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งช่องโหว่ทางข้อมูลและสถิตินี้เองทำให้เฟด (Fed) ตกอยู่ในสภาวะ "มืดแปดด้าน" และอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าตัวเลขว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นอาจเกิดจากความคลาดเคลื่อนทางเทคนิค แต่หลักฐานแวดล้อมส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดแรงงานกำลังย่ำแย่ลง
หากไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีหรือการ ลดดอกเบี้ย อย่างทันท่วงที เศรษฐกิจสหรัฐ มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
การที่เฟดจะรอความชัดเจนของข้อมูลเพียงอย่างเดียวอาจเป็นการตัดสินใจที่ล่าช้าเกินไปสำหรับสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ กังวลเงินทุนด้านเอไอกดดันหุ้นเทคโนโลยี จับตาทิศทางเฟด อัตราว่างงานพุ่งกระฉูด