งานกาชาดที่สวนลุมพินี

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ
วันนี้ขอมาเล่าเรื่องยาวหน่อย เป็นความทรงจำที่ยังชัดเจนทุกครั้งที่นึกถึง งานกาชาดที่สวนลุมพินี คืนหนึ่ง ซึ่งสำหรับใครหลายคนอาจเป็นแค่การเดินเที่ยวงาน แต่สำหรับฉัน มันคือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกบางอย่างที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
คืนนั้นฉันเลิกงานค่อนข้างดึก เสื้อผ้ายังเป็นชุดทำงานเรียบ ๆ ผมรวบลวก ๆ เพราะตั้งใจแค่ว่า “ไปเดินเล่นฆ่าเวลา” มากกว่าจะคาดหวังอะไรเป็นพิเศษ เขาเป็นคนชวน บอกว่าอยากเดินดูไฟ ดูคน ดูบรรยากาศเก่า ๆ แบบที่ไม่ค่อยมีแล้วในกรุงเทพฯ เราเลยนัดเจอกันหน้าสวนลุมฯ ประตูที่คนเยอะที่สุด
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในงาน เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และแสงไฟหลากสีทำให้ความเหนื่อยทั้งวันเหมือนถูกกลบไปชั่วคราว เราเดินช้า ๆ ไม่ได้รีบไปไหน เขาแซวฉันที่ยังชอบเล่นเกมปาลูกโป่งเหมือนเด็ก ฉันก็แซวกลับว่าเขานั่นแหละจริงจังเกินไปกับการเล็งเป้า สุดท้ายไม่มีใครได้รางวัลใหญ่ มีแต่เสียงหัวเราะกับคำบ่นขำ ๆ ระหว่างทาง
เราแวะกินตั้งแต่ของคาวยันของหวาน ลูกชิ้นปิ้ง ข้าวโพดคลุกเนย ไปจนถึงน้ำอัดลมเย็น ๆ ที่ถือแล้วมือเปียก เขาเป็นคนชอบถามตลอดว่า “เหนื่อยไหม” “เมื่อยหรือเปล่า” ซึ่งปกติฉันไม่ค่อยชอบให้ใครมาถามจุกจิก แต่คืนนั้นกลับรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่ฟังแล้วสบายใจ
เดินไปเรื่อย ๆ ไหล่ฉันเริ่มตึงโดยไม่รู้ตัว อาจเพราะทั้งวันนั่งทำงานหน้าคอม พอมาเดินในงานที่คนเยอะ ๆ ก็ยิ่งล้า เขาสังเกตเห็นจากท่าทาง เลยชวนออกมานั่งพักด้านนอกที่คนบางตากว่า ตรงนั้นมีคลินิกดูแลสุขภาพเล็ก ๆ แทรกอยู่ในบรรยากาศเมืองใหญ่ ดูเงียบและต่างจากความวุ่นวายข้างในงานอย่างสิ้นเชิง เขาบอกว่าเคยแวะมาดูแลตัวเองแถวนี้บ่อย เพราะรู้สึกสบายและเป็นกันเอง ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ได้นั่งพัก คลายตัว ความตึงที่ไหล่ก็ค่อย ๆ เบาลงอย่างน่าประหลาด ใจมันโล่ง เหมือนได้หยุดจริง ๆ สักพักหนึ่ง
หลังจากนั้นเราเดินกลับเข้าไปในงานอีกครั้ง คราวนี้เดินช้ากว่าเดิม เหมือนต่างคนต่างไม่อยากให้เวลาผ่านไปเร็ว เรานั่งดูเวทีเล็ก ๆ ที่มีการแสดงดนตรีพื้นบ้าน เสียงไม่ดังมาก แต่ฟังแล้วอบอุ่น เขานั่งข้าง ๆ ไม่ได้พูดอะไร แค่ยื่นน้ำให้ แล้วนั่งฟังไปด้วยกัน ความเงียบตอนนั้นไม่อึดอัดเลย กลับเป็นความเงียบที่สบายใจ
ก่อนกลับ เขาซื้อสลากกาชาดให้ฉันหนึ่งใบ บอกว่า “เผื่อจะถูกรางวัลอะไรดี ๆ” ฉันหัวเราะ บอกว่ารางวัลใหญ่คงยาก แต่ก็รับไว้ ผลคือไม่ถูกรางวัลตามเคย เราหัวเราะให้กับความดวงไม่ดีของตัวเอง แล้วเดินออกจากงานพร้อมกัน
ระหว่างทางกลับ เขาพูดขึ้นเบา ๆ ว่า
“ถึงไม่ถูกรางวัล แต่คืนนี้ก็ดีแล้วนะ”
ฉันไม่ได้ตอบอะไร แค่ยิ้ม เพราะรู้สึกเหมือนกัน คืนนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษหวือหวา ไม่มีคำสารภาพ ไม่มีฉากโรแมนติกแบบในหนัง มีแค่การเดินด้วยกัน ดูแลกันเล็ก ๆ น้อย ๆ และความรู้สึกอบอุ่นที่ค่อย ๆ ซึมเข้ามาในใจ
จนถึงวันนี้ ทุกครั้งที่ผ่านสวนลุมฯ หรือเห็นไฟงานกาชาด ฉันยังนึกถึงคืนนั้นเสมอ คืนธรรมดา ๆ ที่สอนให้รู้ว่า ความรักบางทีมันไม่ได้เริ่มจากคำพูดใหญ่โต แต่อาจเริ่มจากการใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ ระหว่างทาง…เท่านั้นเองค่ะ 💗
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่