ประเทศไทยไม่เคยเป็นอาณานิคม เพราะฉะนั้นคนไทยคงไม่มีโอกาสรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดของประเทศที่ถูกยึดครอง
เป็นอาณานิคม ถ้าให้จินตนาการ ประชาชนของประเทศที่ถูกยึดครองคงมีความรู้สึกเคียดแค้น เพราะเสียทั้งศักดิ์ศรี
เสียทั้งทรัพยากร รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเกิดความสงสัยว่าประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมจะสามารถฟ้องร้องประเทศเจ้าอาณานิคมเพื่อเรียกร้อง
ค่าเสียหายได้หรือไม่ ผมจึงได้ไปค้นคว้าหาข้อมูลมา และได้คำตอบสั้นๆ คือ ทำได้ แต่ ยากมาก ที่จะประสบความสำเร็จ
ในการฟ้องร้องในระดับรัฐต่อรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย (Reparations)
จากการล่าอาณานิคมโดยรวม
การแสวงหาการเยียวยา (Redress) หรือการชดใช้สำหรับความเสียหายในยุคอาณานิคมเป็นประเด็นที่มีการเรียกร้องและ
ถกเถียงอย่างต่อเนื่องในเวทีระหว่างประเทศ แต่ก็พบอุปสรรคหลายประการ ได้แก่
1. ความท้าทายทางกฎหมายหลัก
ความยากลำบากในการฟ้องร้องทางกฎหมายในประเด็นนี้มาจากหลักการสำคัญหลายประการในกฎหมายระหว่างประเทศ
- หลักการระหว่างกาล (Intertemporal Principle)
หลักการนี้ระบุว่า การกระทำทางกฎหมายจะต้องได้รับการประเมินตามกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ในขณะนั้น
ในช่วงที่มีการล่าอาณานิคมนั้น กฎหมายระหว่างประเทศในขณะนั้น (ซึ่งถูกสร้างโดยรัฐอาณานิคมเป็นหลัก) ไม่ได้มีข้อห้าม
ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการล่าอาณานิคมหรือการแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบทั่วไป ดังนั้น รัฐเจ้าอาณานิคมจึงสามารถโต้แย้ง
ได้ว่า การกระทำของตนไม่ได้ผิดกฎหมายระหว่างประเทศในเวลานั้น (แม้ว่าในปัจจุบันการล่าอาณานิคมจะถือว่า
ผิดหลักอธิปไตยและสิทธิในการกำหนดใจตนเอง)
- หลักการความรับผิดของรัฐ (State Responsibility)
การฟ้องร้องทางกฎหมายต้องการให้มีการพิสูจน์ว่ารัฐเจ้าอาณานิคมได้กระทำการ ที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ นักกฎหมาย
ส่วนใหญ่ยอมรับว่า การกระทำที่ถือเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide)
หรือ การค้าทาส (Slavery) อาจนำมาซึ่งการเรียกร้องค่าชดเชยทางกฎหมายได้ แต่การเรียกร้องค่าเสียหายจากการล่า
อาณานิคมในภาพรวมทั้งหมดนั้นทำได้ยาก
2. รูปแบบของการเรียกร้องที่เกิดขึ้นจริง
แม้การฟ้องร้องในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) สำหรับการล่าอาณานิคมโดยรวมจะยัง
ไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่ก็มีการดำเนินการเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบและการเยียวยาในรูปแบบอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- การเรียกร้องค่าชดเชยเฉพาะกรณี (Specific Atrocities/Restitution)
มีการเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับการกระทำที่โหดร้ายโดยเฉพาะในช่วงอาณานิคม (เช่น การสังหารหมู่ การทำทารุณกรรม)
มีการเรียกร้องให้ ส่งคืนโบราณวัตถุและมรดกทางวัฒนธรรม (Restitution of Cultural Property) ซึ่งรัฐเจ้าอาณานิคม
หลายแห่ง เช่น ฝรั่งเศสและเบลเยียม เริ่มมีการยอมรับในทางปฏิบัติและดำเนินการส่งคืนบางส่วน
- การยอมรับทางศีลธรรมและการขอโทษ (Moral Acknowledgement and Apologies)
หลายประเทศเจ้าอาณานิคมแสดงความเสียใจและขอโทษในระดับศีลธรรมหรือทางการเมือง เช่น ฝรั่งเศส หรือ เบลเยียม
ที่ยอมรับ "อาชญากรรม" ในยุคอาณานิคม แต่ส่วนใหญ่มักจะ หลีกเลี่ยงการยอมรับความรับผิดชอบทางกฎหมาย
- คณะกรรมาธิการความจริงและการปรองดอง (Truth and Reconciliation Commissions)
มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อตรวจสอบประวัติศาสตร์อาณานิคมและพิจารณาการชดเชยที่เหมาะสม เช่น ที่เคยเกิดขึ้นในเบลเยียม
💡 บทสรุป
การเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับยุคอาณานิคมจึงมักจะเน้นไปที่การ เจรจาทางการเมือง การเรียกร้องทาง ศีลธรรม และ
การส่งคืน ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม มากกว่าการฟ้องร้องในศาลระหว่างประเทศ ซึ่งถูกจำกัดด้วยหลักการทางกฎหมายในอดีต
แล้วเคยมีประวัติประเทศใดฟ้องร้องเจ้าอาณานิคมหรือไม่ พอไปค้นคว้าหาข้อมูลมาก็พบว่าเคยมีดังต่อไปนี้ครับ
1. ความพยายามในการฟ้องร้องในศาลระหว่างประเทศ
- กลุ่มประเทศแคริบเบียน (CARICOM)
นี่คือกรณีที่มีการพูดถึงมากที่สุดในการเรียกร้องค่าชดเชยอาณานิคม กลุ่มประเทศแคริบเบียน (Caribbean Community)
ที่เป็นอดีตอาณานิคมของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ได้รวมตัวกันและ ขู่ว่าจะนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศ (ICJ) เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยจากรัฐเจ้าอาณานิคมเดิม การเรียกร้องนี้มุ่งเน้นไปที่ การค้าทาสข้ามมหาสมุทร
แอตแลนติก และ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Native Genocide) ในหมู่เกาะแคริบเบียน โดยเรียกร้องเป็นเงินจำนวนมหาศาล
- สถานะปัจจุบัน การฟ้องร้องยังไม่ได้ถูกยื่นต่อ ICJ อย่างเป็นทางการ เพราะอุปสรรคทางกฎหมายยังคงมีอยู่
(เช่น หลักการระหว่างกาล ที่กล่าวถึงในคำตอบก่อนหน้า) แต่การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นความพยายามทางกฎหมายที่จริงจัง
ที่สุดในระดับภูมิภาค
2. การเรียกร้องและคดีความเฉพาะกรณี
แทนที่จะฟ้องร้องสำหรับการล่าอาณานิคมโดยรวม การดำเนินการที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่
อาชญากรรมระหว่างประเทศเฉพาะเรื่อง ที่เกิดขึ้นในช่วงอาณานิคม
- เยอรมนี กับ นามิเบีย (Herero and Nama Genocide)
ชาว Herero และ Nama ในนามิเบีย (อดีตเป็นแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนี) ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลเยอรมนีในศาล
ของสหรัฐอเมริกาเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 ที่กระทำโดยกองทัพเยอรมัน
(แม้ว่าศาลสหรัฐฯ จะปฏิเสธการมีเขตอำนาจศาล)
ผลลัพธ์ แม้ไม่ผ่านกระบวนการศาล แต่ได้นำไปสู่การ ยอมรับความผิดและขอโทษอย่างเป็นทางการ และการตกลง
ที่จะจ่ายเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาในนามิเบียจำนวนหลายพันล้านยูโร (ซึ่งเยอรมนียืนยันว่าไม่ใช่ค่าชดเชยทางกฎหมาย
แต่เป็น "การเยียวยา")
- เคนยา กับ สหราชอาณาจักร (Mau Mau Rebellion)
ผู้เสียหายจากเหตุการณ์ กบฏ Mau Mau ในเคนยา ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรในศาลอังกฤษ
ผลลัพธ์ รัฐบาลอังกฤษได้ทำข้อตกลง จ่ายค่าชดเชย ให้กับผู้รอดชีวิตหลายพันคน และแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อ
การปฏิบัติที่ถูกกล่าวหาว่าโหดร้ายทารุณ
3. การเรียกร้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรม
นอกเหนือจากการชดเชยทางการเงิน ยังมีการเรียกร้องที่ประสบความสำเร็จในการ ขอคืนโบราณวัตถุและมรดกทาง
วัฒนธรรม ที่ถูกนำออกไปในช่วงอาณานิคม ตัวอย่างเช่น ประเทศฝรั่งเศสและเบลเยียมได้เริ่มมีการส่งมอบโบราณวัตถุ
บางส่วนคืนให้กับประเทศในแอฟริกา
การฟ้องร้องในประเด็นอาณานิคมจึงยังคงเป็นประเด็นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยเน้นไปที่ อาชญากรรมที่ผิดกฎหมาย
ระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ในเวลานั้น มากกว่าการฟ้องร้องการล่าอาณานิคมในภาพรวมครับ
⚖️ประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมสามารถฟ้องร้องประเทศเจ้าอาณานิคมในอดีตได้หรือไม่
เป็นอาณานิคม ถ้าให้จินตนาการ ประชาชนของประเทศที่ถูกยึดครองคงมีความรู้สึกเคียดแค้น เพราะเสียทั้งศักดิ์ศรี
เสียทั้งทรัพยากร รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเกิดความสงสัยว่าประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมจะสามารถฟ้องร้องประเทศเจ้าอาณานิคมเพื่อเรียกร้อง
ค่าเสียหายได้หรือไม่ ผมจึงได้ไปค้นคว้าหาข้อมูลมา และได้คำตอบสั้นๆ คือ ทำได้ แต่ ยากมาก ที่จะประสบความสำเร็จ
ในการฟ้องร้องในระดับรัฐต่อรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย (Reparations)
จากการล่าอาณานิคมโดยรวม
การแสวงหาการเยียวยา (Redress) หรือการชดใช้สำหรับความเสียหายในยุคอาณานิคมเป็นประเด็นที่มีการเรียกร้องและ
ถกเถียงอย่างต่อเนื่องในเวทีระหว่างประเทศ แต่ก็พบอุปสรรคหลายประการ ได้แก่
1. ความท้าทายทางกฎหมายหลัก
ความยากลำบากในการฟ้องร้องทางกฎหมายในประเด็นนี้มาจากหลักการสำคัญหลายประการในกฎหมายระหว่างประเทศ
- หลักการระหว่างกาล (Intertemporal Principle)
หลักการนี้ระบุว่า การกระทำทางกฎหมายจะต้องได้รับการประเมินตามกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ในขณะนั้น
ในช่วงที่มีการล่าอาณานิคมนั้น กฎหมายระหว่างประเทศในขณะนั้น (ซึ่งถูกสร้างโดยรัฐอาณานิคมเป็นหลัก) ไม่ได้มีข้อห้าม
ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการล่าอาณานิคมหรือการแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบทั่วไป ดังนั้น รัฐเจ้าอาณานิคมจึงสามารถโต้แย้ง
ได้ว่า การกระทำของตนไม่ได้ผิดกฎหมายระหว่างประเทศในเวลานั้น (แม้ว่าในปัจจุบันการล่าอาณานิคมจะถือว่า
ผิดหลักอธิปไตยและสิทธิในการกำหนดใจตนเอง)
- หลักการความรับผิดของรัฐ (State Responsibility)
การฟ้องร้องทางกฎหมายต้องการให้มีการพิสูจน์ว่ารัฐเจ้าอาณานิคมได้กระทำการ ที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ นักกฎหมาย
ส่วนใหญ่ยอมรับว่า การกระทำที่ถือเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide)
หรือ การค้าทาส (Slavery) อาจนำมาซึ่งการเรียกร้องค่าชดเชยทางกฎหมายได้ แต่การเรียกร้องค่าเสียหายจากการล่า
อาณานิคมในภาพรวมทั้งหมดนั้นทำได้ยาก
2. รูปแบบของการเรียกร้องที่เกิดขึ้นจริง
แม้การฟ้องร้องในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) สำหรับการล่าอาณานิคมโดยรวมจะยัง
ไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่ก็มีการดำเนินการเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบและการเยียวยาในรูปแบบอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- การเรียกร้องค่าชดเชยเฉพาะกรณี (Specific Atrocities/Restitution)
มีการเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับการกระทำที่โหดร้ายโดยเฉพาะในช่วงอาณานิคม (เช่น การสังหารหมู่ การทำทารุณกรรม)
มีการเรียกร้องให้ ส่งคืนโบราณวัตถุและมรดกทางวัฒนธรรม (Restitution of Cultural Property) ซึ่งรัฐเจ้าอาณานิคม
หลายแห่ง เช่น ฝรั่งเศสและเบลเยียม เริ่มมีการยอมรับในทางปฏิบัติและดำเนินการส่งคืนบางส่วน
- การยอมรับทางศีลธรรมและการขอโทษ (Moral Acknowledgement and Apologies)
หลายประเทศเจ้าอาณานิคมแสดงความเสียใจและขอโทษในระดับศีลธรรมหรือทางการเมือง เช่น ฝรั่งเศส หรือ เบลเยียม
ที่ยอมรับ "อาชญากรรม" ในยุคอาณานิคม แต่ส่วนใหญ่มักจะ หลีกเลี่ยงการยอมรับความรับผิดชอบทางกฎหมาย
- คณะกรรมาธิการความจริงและการปรองดอง (Truth and Reconciliation Commissions)
มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อตรวจสอบประวัติศาสตร์อาณานิคมและพิจารณาการชดเชยที่เหมาะสม เช่น ที่เคยเกิดขึ้นในเบลเยียม
💡 บทสรุป
การเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับยุคอาณานิคมจึงมักจะเน้นไปที่การ เจรจาทางการเมือง การเรียกร้องทาง ศีลธรรม และ
การส่งคืน ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม มากกว่าการฟ้องร้องในศาลระหว่างประเทศ ซึ่งถูกจำกัดด้วยหลักการทางกฎหมายในอดีต
แล้วเคยมีประวัติประเทศใดฟ้องร้องเจ้าอาณานิคมหรือไม่ พอไปค้นคว้าหาข้อมูลมาก็พบว่าเคยมีดังต่อไปนี้ครับ
1. ความพยายามในการฟ้องร้องในศาลระหว่างประเทศ
- กลุ่มประเทศแคริบเบียน (CARICOM)
นี่คือกรณีที่มีการพูดถึงมากที่สุดในการเรียกร้องค่าชดเชยอาณานิคม กลุ่มประเทศแคริบเบียน (Caribbean Community)
ที่เป็นอดีตอาณานิคมของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ได้รวมตัวกันและ ขู่ว่าจะนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศ (ICJ) เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยจากรัฐเจ้าอาณานิคมเดิม การเรียกร้องนี้มุ่งเน้นไปที่ การค้าทาสข้ามมหาสมุทร
แอตแลนติก และ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Native Genocide) ในหมู่เกาะแคริบเบียน โดยเรียกร้องเป็นเงินจำนวนมหาศาล
- สถานะปัจจุบัน การฟ้องร้องยังไม่ได้ถูกยื่นต่อ ICJ อย่างเป็นทางการ เพราะอุปสรรคทางกฎหมายยังคงมีอยู่
(เช่น หลักการระหว่างกาล ที่กล่าวถึงในคำตอบก่อนหน้า) แต่การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นความพยายามทางกฎหมายที่จริงจัง
ที่สุดในระดับภูมิภาค
2. การเรียกร้องและคดีความเฉพาะกรณี
แทนที่จะฟ้องร้องสำหรับการล่าอาณานิคมโดยรวม การดำเนินการที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่
อาชญากรรมระหว่างประเทศเฉพาะเรื่อง ที่เกิดขึ้นในช่วงอาณานิคม
- เยอรมนี กับ นามิเบีย (Herero and Nama Genocide)
ชาว Herero และ Nama ในนามิเบีย (อดีตเป็นแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนี) ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลเยอรมนีในศาล
ของสหรัฐอเมริกาเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 ที่กระทำโดยกองทัพเยอรมัน
(แม้ว่าศาลสหรัฐฯ จะปฏิเสธการมีเขตอำนาจศาล)
ผลลัพธ์ แม้ไม่ผ่านกระบวนการศาล แต่ได้นำไปสู่การ ยอมรับความผิดและขอโทษอย่างเป็นทางการ และการตกลง
ที่จะจ่ายเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาในนามิเบียจำนวนหลายพันล้านยูโร (ซึ่งเยอรมนียืนยันว่าไม่ใช่ค่าชดเชยทางกฎหมาย
แต่เป็น "การเยียวยา")
- เคนยา กับ สหราชอาณาจักร (Mau Mau Rebellion)
ผู้เสียหายจากเหตุการณ์ กบฏ Mau Mau ในเคนยา ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรในศาลอังกฤษ
ผลลัพธ์ รัฐบาลอังกฤษได้ทำข้อตกลง จ่ายค่าชดเชย ให้กับผู้รอดชีวิตหลายพันคน และแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อ
การปฏิบัติที่ถูกกล่าวหาว่าโหดร้ายทารุณ
3. การเรียกร้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรม
นอกเหนือจากการชดเชยทางการเงิน ยังมีการเรียกร้องที่ประสบความสำเร็จในการ ขอคืนโบราณวัตถุและมรดกทาง
วัฒนธรรม ที่ถูกนำออกไปในช่วงอาณานิคม ตัวอย่างเช่น ประเทศฝรั่งเศสและเบลเยียมได้เริ่มมีการส่งมอบโบราณวัตถุ
บางส่วนคืนให้กับประเทศในแอฟริกา
การฟ้องร้องในประเด็นอาณานิคมจึงยังคงเป็นประเด็นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยเน้นไปที่ อาชญากรรมที่ผิดกฎหมาย
ระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ในเวลานั้น มากกว่าการฟ้องร้องการล่าอาณานิคมในภาพรวมครับ