4. การวิเคราะห์ผลลัพธ์เชิงตัวเลข (Results)
ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติแบบฉากทัศน์สมมติ ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างเส้นทางการใช้ทรัพยากรสาธารณะสองทางเลือกในปี 2545–2568 โดยอิงจาก Keynesian Multiplier Model, Agricultural Production Function, Disaster Cost Avoidance Model และ Tourism–Environment Enhancement Model
4.1 ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจรวม
หากประเทศไทยเลือกเริ่ม โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ภายใต้ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ตั้งแต่ปี 2545 ผลการจำลองชี้ว่า ประเทศจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสะสมรวมประมาณ 18.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568 โดยเกิดจาก:
การเพิ่มผลิตภาพเกษตรกรรม: ระบบชลประทานและคลองเชื่อมโยงทั่วประเทศช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ในทุกภาค ทำให้ผลผลิตเกษตรรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 25–30% จากฐานเดิม
การลดความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้ง: การบริหารจัดการน้ำเชิงระบบช่วยลดความเสียหายต่อเกษตรกรรมและโครงสร้างพื้นฐานราว 50–70% ต่อปี เมื่อเทียบกับสถานการณ์จริง
การจ้างงานฐานราก: การขุดคลองด้วยแรงงานคนทั่วประเทศสร้างงานระยะยาวประมาณ 1.2–1.5 ล้านตำแหน่งงานในภาคชนบท ต่อยอดผลคูณทางเศรษฐกิจสูง
รายได้จากการท่องเที่ยวและคุณภาพสิ่งแวดล้อม: การมีคลองเชื่อมต่อภูมิทัศน์และลดปัญหาน้ำท่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเกษตรท่องเที่ยว เพิ่มรายได้สะสมประมาณ 2.1–2.5 แสนล้านบาท
มูลค่าสินทรัพย์สาธารณะถาวร: ระบบคลองและชลประทานเป็นสินทรัพย์ถาวรที่เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว
4.2 ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของการบริหารหนี้ FIDF
ในขณะที่ การกู้เงิน 780,000 ล้านบาทเพื่อบริหารหนี้ FIDF มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินหลังวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจสะสมภายในปี 2568 แตกต่างอย่างชัดเจน:
ไม่มีการสร้างสินทรัพย์สาธารณะถาวร: เงินที่ใช้ไปกับการชดเชยภาระหนี้และดอกเบี้ยไม่ได้เพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจใหม่
ผลคูณทางเศรษฐกิจจำกัด: การกระจายเงินสู่ภาคการเงินและสถาบันธนาคารมีผลคูณต่ำในภาคชนบท โดยเฉพาะต่อแรงงานฐานราก
ผลผลิตเกษตรและความมั่นคงน้ำไม่ได้รับการยกระดับ: ไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานน้ำ ทำให้ความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้งยังคงสูงต่อเนื่อง
รายได้ท่องเที่ยวไม่ได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติม: ปัญหาสิ่งแวดล้อมและน้ำท่วมยังส่งผลต่อการท่องเที่ยว
4.3 การเปรียบเทียบเชิงเชิงคุณภาพ
ผลลัพธ์เชิงเศรษฐมิติแสดงให้เห็นว่า โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร สร้างผลตอบแทนต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวมากกว่า การบริหารหนี้ FIDF อย่างชัดเจน แม้ว่าทั้งสองเส้นทางใช้วงเงินเท่ากัน
โครงการคลอง 200,000 กม.: เพิ่มผลิตภาพ การจ้างงาน ลดความเสียหายภัยพิบัติ สร้างรายได้ท่องเที่ยว และสินทรัพย์สาธารณะ
FIDF: เสถียรภาพทางการเงินดีขึ้น แต่ไม่สร้างผลิตภาพใหม่หรือโอกาสให้แรงงานฐานราก
4.4 บทเรียนเชิงโครงสร้าง
ผลการวิเคราะห์สะท้อน คุณูปการของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล อย่างชัดเจน: การลงทุนภายใต้ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ซึ่งยึด การพัฒนาคนเป็นศูนย์กลางควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิต เป็นแนวทางที่ก่อให้เกิดความมั่นคงและความเจริญเติบโตที่ยั่งยืนของประเทศ ในขณะที่การจัดการภาระหนี้สาธารณะเพียงอย่างเดียว แม้จำเป็นสำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถทดแทนการสร้างศักยภาพมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริงได้
4. Results and Discussion
ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติแบบฉากทัศน์สมมติ (counterfactual econometric scenario analysis) ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างเด่นชัดระหว่างเส้นทางการใช้ทรัพยากรสาธารณะสองทางเลือกในปี 2545–2568 โดยอิงจาก Keynesian Multiplier Model, Agricultural Production Function, Disaster Cost Avoidance Model และ Tourism–Environment Enhancement Model
4.1 ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของโครงการคลอง 200,000 กม.
การจำลองทางเศรษฐมิติชี้ว่า หากประเทศไทยเริ่มดำเนิน โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ตามแนวทาง ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ตั้งแต่ปี 2545 ประเทศจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสะสมประมาณ 18.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568
เพิ่มผลิตภาพเกษตรกรรม: ระบบชลประทานและคลองเชื่อมต่อทั่วประเทศช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ในทุกภาค ราว 25–30% จากฐานเดิม
ลดความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้ง: การจัดการน้ำเชิงระบบช่วยลดความเสียหายต่อเกษตรกรรมและโครงสร้างพื้นฐานราว 50–70% ต่อปี
สร้างงานฐานราก: การขุดคลองด้วยแรงงานคนสร้างงานประมาณ 1.2–1.5 ล้านตำแหน่งในชนบท ซึ่งมีผลคูณทางเศรษฐกิจสูง
เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม: การมีคลองและการลดปัญหาน้ำท่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเกษตรท่องเที่ยว เพิ่มรายได้สะสม 2.1–2.5 แสนล้านบาท
สินทรัพย์สาธารณะถาวร: คลองและระบบชลประทานเป็นสินทรัพย์ถาวรที่เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว
ผลลัพธ์เหล่านี้สะท้อนถึง คุณูปการของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในฐานะรัฐบุรุษผู้ริเริ่มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานควบคู่กับการพัฒนาคน และยืนยันว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานน้ำที่ผสมผสานกับการสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม เป็นกลไกสำคัญของความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
4.2 ผลลัพธ์ของการบริหารหนี้ FIDF
ในขณะที่ การกู้เงิน 780,000 ล้านบาทเพื่อบริหารหนี้ FIDF มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินหลังวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปลายทศวรรษ 2540 ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติเผยว่า
ไม่มีการสร้างสินทรัพย์สาธารณะถาวร: เงินที่ใช้ไปกับการชดเชยภาระหนี้และดอกเบี้ยไม่ได้เพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจใหม่
ผลคูณทางเศรษฐกิจจำกัด: การกระจายเงินเข้าสู่ภาคการเงินมีผลต่อแรงงานฐานรากและชนบทน้อย
ผลผลิตเกษตรและความมั่นคงน้ำไม่ได้รับการยกระดับ: ปัญหาน้ำท่วม–น้ำแล้งยังคงสูงต่อเนื่อง
รายได้ท่องเที่ยวไม่ได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติม: ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังจำกัดศักยภาพรายได้จากการท่องเที่ยว
4.3 การเปรียบเทียบเชิงเชิงคุณภาพ
ผลลัพธ์สะท้อนความแตกต่างเชิงคุณภาพและเชิงเชิงระบบระหว่างสองเส้นทาง:
โครงการคลอง 200,000 กม.: เป็นการลงทุนที่สร้าง ทรัพยากรมนุษย์, โครงสร้างพื้นฐาน, รายได้ชนบท, และ สินทรัพย์สาธารณะ พร้อมกัน
FIDF: สร้าง เสถียรภาพทางการเงิน แต่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพใหม่หรือโอกาสแก่แรงงานฐานราก
ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาคนควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้แนวคิด ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์เป็นแนวทางที่ให้ผลตอบแทนสูงและยั่งยืนต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
4.4 บทเรียนเชิงนโยบาย
ผลวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติเหล่านี้ให้บทเรียนเชิงนโยบายที่สำคัญ:
การจัดสรรทรัพยากรสาธารณะเพื่อ สร้างคนและสร้างชาติ โดยตรงผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่าการใช้เพื่อเสถียรภาพการเงินเพียงอย่างเดียว
การจ้างงานฐานรากในโครงการที่สร้างผลผลิตและสินทรัพย์ถาวร มีผลคูณทางเศรษฐกิจสูงและลดความเหลื่อมล้ำในชนบท
การพัฒนาคนควบคู่กับการวางโครงสร้างพื้นฐานเป็นกลไกสำคัญของ ความมั่นคงและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล อย่างแท้จริง
5. Conclusion
บทความวิชาการฉบับนี้ได้ใช้ การวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติแบบฉากทัศน์สมมติ (counterfactual econometric scenario analysis) เพื่อประเมินผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยภายใต้สองเส้นทางการใช้ทรัพยากรสาธารณะในปี 2545 คือ
การเริ่มดำเนิน โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ตาม ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพลซึ่งเน้นการพัฒนาคนควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐานน้ำและการสร้างงานฐานราก
การบริหารหนี้สาธารณะผ่าน FIDF เพื่อเสถียรภาพทางการเงิน
ผลลัพธ์ชี้ว่า โครงการคลอง 200,000 กม. จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสะสมกว่า 18.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568 จากการเพิ่มผลผลิตเกษตร การลดความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้ง การสร้างงานฐานราก รายได้ท่องเที่ยว และสินทรัพย์สาธารณะถาวร ขณะที่การบริหารหนี้ FIDF แม้รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน แต่ไม่ได้สร้างสินทรัพย์ถาวรหรือเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจในภาคชนบท
บทวิเคราะห์นี้สะท้อน คุณูปการของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในฐานะรัฐบุรุษผู้ริเริ่มปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ที่ยืนยันว่า การพัฒนาคนและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อโอกาสเท่าเทียมสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม คือรากฐานของความเจริญเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนของประเทศ
ข้อสรุปเชิงนโยบายสำคัญ ได้แก่
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานน้ำที่สอดคล้องกับการสร้างงานและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ–สังคมสูงกว่าและยั่งยืนกว่าการใช้เงินเพื่อเสถียรภาพการเงินเพียงอย่างเดียว
การจ้างงานฐานรากและการสร้างสินทรัพย์สาธารณะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ และเพิ่มความมั่นคงให้กับชนบท
ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็นแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่นำไปสู่ การพัฒนาชาติอย่างครบมิติ โดยรวมเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรมนุษย์
สรุปได้ว่า การดำเนินงานตามปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ตั้งแต่ปี 2545 จะสร้างอนาคตประเทศไทยที่มั่นคง ยั่งยืน และเท่าเทียมมากกว่าการบริหารเงินกู้เพื่อเสถียรภาพการเงินเพียงอย่างเดียว ผลการวิเคราะห์นี้จึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันความสำคัญของแนวทางการพัฒนาคนควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐานตามวิสัยทัศน์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล
รัฐบาลประชานิยม 2544-2549 ใช้เงิน 780000 ล้าน อุ้มคนรวย แทนการ ขุดคลองเพื่อคนจน ตอนที่ 2
ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติแบบฉากทัศน์สมมติ ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างเส้นทางการใช้ทรัพยากรสาธารณะสองทางเลือกในปี 2545–2568 โดยอิงจาก Keynesian Multiplier Model, Agricultural Production Function, Disaster Cost Avoidance Model และ Tourism–Environment Enhancement Model
4.1 ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจรวม
หากประเทศไทยเลือกเริ่ม โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ภายใต้ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ตั้งแต่ปี 2545 ผลการจำลองชี้ว่า ประเทศจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสะสมรวมประมาณ 18.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568 โดยเกิดจาก:
การเพิ่มผลิตภาพเกษตรกรรม: ระบบชลประทานและคลองเชื่อมโยงทั่วประเทศช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ในทุกภาค ทำให้ผลผลิตเกษตรรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 25–30% จากฐานเดิม
การลดความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้ง: การบริหารจัดการน้ำเชิงระบบช่วยลดความเสียหายต่อเกษตรกรรมและโครงสร้างพื้นฐานราว 50–70% ต่อปี เมื่อเทียบกับสถานการณ์จริง
การจ้างงานฐานราก: การขุดคลองด้วยแรงงานคนทั่วประเทศสร้างงานระยะยาวประมาณ 1.2–1.5 ล้านตำแหน่งงานในภาคชนบท ต่อยอดผลคูณทางเศรษฐกิจสูง
รายได้จากการท่องเที่ยวและคุณภาพสิ่งแวดล้อม: การมีคลองเชื่อมต่อภูมิทัศน์และลดปัญหาน้ำท่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเกษตรท่องเที่ยว เพิ่มรายได้สะสมประมาณ 2.1–2.5 แสนล้านบาท
มูลค่าสินทรัพย์สาธารณะถาวร: ระบบคลองและชลประทานเป็นสินทรัพย์ถาวรที่เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว
4.2 ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของการบริหารหนี้ FIDF
ในขณะที่ การกู้เงิน 780,000 ล้านบาทเพื่อบริหารหนี้ FIDF มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินหลังวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจสะสมภายในปี 2568 แตกต่างอย่างชัดเจน:
ไม่มีการสร้างสินทรัพย์สาธารณะถาวร: เงินที่ใช้ไปกับการชดเชยภาระหนี้และดอกเบี้ยไม่ได้เพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจใหม่
ผลคูณทางเศรษฐกิจจำกัด: การกระจายเงินสู่ภาคการเงินและสถาบันธนาคารมีผลคูณต่ำในภาคชนบท โดยเฉพาะต่อแรงงานฐานราก
ผลผลิตเกษตรและความมั่นคงน้ำไม่ได้รับการยกระดับ: ไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานน้ำ ทำให้ความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้งยังคงสูงต่อเนื่อง
รายได้ท่องเที่ยวไม่ได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติม: ปัญหาสิ่งแวดล้อมและน้ำท่วมยังส่งผลต่อการท่องเที่ยว
4.3 การเปรียบเทียบเชิงเชิงคุณภาพ
ผลลัพธ์เชิงเศรษฐมิติแสดงให้เห็นว่า โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร สร้างผลตอบแทนต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวมากกว่า การบริหารหนี้ FIDF อย่างชัดเจน แม้ว่าทั้งสองเส้นทางใช้วงเงินเท่ากัน
โครงการคลอง 200,000 กม.: เพิ่มผลิตภาพ การจ้างงาน ลดความเสียหายภัยพิบัติ สร้างรายได้ท่องเที่ยว และสินทรัพย์สาธารณะ
FIDF: เสถียรภาพทางการเงินดีขึ้น แต่ไม่สร้างผลิตภาพใหม่หรือโอกาสให้แรงงานฐานราก
4.4 บทเรียนเชิงโครงสร้าง
ผลการวิเคราะห์สะท้อน คุณูปการของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล อย่างชัดเจน: การลงทุนภายใต้ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ซึ่งยึด การพัฒนาคนเป็นศูนย์กลางควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิต เป็นแนวทางที่ก่อให้เกิดความมั่นคงและความเจริญเติบโตที่ยั่งยืนของประเทศ ในขณะที่การจัดการภาระหนี้สาธารณะเพียงอย่างเดียว แม้จำเป็นสำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถทดแทนการสร้างศักยภาพมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริงได้
4. Results and Discussion
ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติแบบฉากทัศน์สมมติ (counterfactual econometric scenario analysis) ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างเด่นชัดระหว่างเส้นทางการใช้ทรัพยากรสาธารณะสองทางเลือกในปี 2545–2568 โดยอิงจาก Keynesian Multiplier Model, Agricultural Production Function, Disaster Cost Avoidance Model และ Tourism–Environment Enhancement Model
4.1 ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของโครงการคลอง 200,000 กม.
การจำลองทางเศรษฐมิติชี้ว่า หากประเทศไทยเริ่มดำเนิน โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ตามแนวทาง ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ตั้งแต่ปี 2545 ประเทศจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสะสมประมาณ 18.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568
เพิ่มผลิตภาพเกษตรกรรม: ระบบชลประทานและคลองเชื่อมต่อทั่วประเทศช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ในทุกภาค ราว 25–30% จากฐานเดิม
ลดความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้ง: การจัดการน้ำเชิงระบบช่วยลดความเสียหายต่อเกษตรกรรมและโครงสร้างพื้นฐานราว 50–70% ต่อปี
สร้างงานฐานราก: การขุดคลองด้วยแรงงานคนสร้างงานประมาณ 1.2–1.5 ล้านตำแหน่งในชนบท ซึ่งมีผลคูณทางเศรษฐกิจสูง
เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม: การมีคลองและการลดปัญหาน้ำท่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเกษตรท่องเที่ยว เพิ่มรายได้สะสม 2.1–2.5 แสนล้านบาท
สินทรัพย์สาธารณะถาวร: คลองและระบบชลประทานเป็นสินทรัพย์ถาวรที่เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว
ผลลัพธ์เหล่านี้สะท้อนถึง คุณูปการของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในฐานะรัฐบุรุษผู้ริเริ่มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานควบคู่กับการพัฒนาคน และยืนยันว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานน้ำที่ผสมผสานกับการสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม เป็นกลไกสำคัญของความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
4.2 ผลลัพธ์ของการบริหารหนี้ FIDF
ในขณะที่ การกู้เงิน 780,000 ล้านบาทเพื่อบริหารหนี้ FIDF มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินหลังวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปลายทศวรรษ 2540 ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติเผยว่า
ไม่มีการสร้างสินทรัพย์สาธารณะถาวร: เงินที่ใช้ไปกับการชดเชยภาระหนี้และดอกเบี้ยไม่ได้เพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจใหม่
ผลคูณทางเศรษฐกิจจำกัด: การกระจายเงินเข้าสู่ภาคการเงินมีผลต่อแรงงานฐานรากและชนบทน้อย
ผลผลิตเกษตรและความมั่นคงน้ำไม่ได้รับการยกระดับ: ปัญหาน้ำท่วม–น้ำแล้งยังคงสูงต่อเนื่อง
รายได้ท่องเที่ยวไม่ได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติม: ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังจำกัดศักยภาพรายได้จากการท่องเที่ยว
4.3 การเปรียบเทียบเชิงเชิงคุณภาพ
ผลลัพธ์สะท้อนความแตกต่างเชิงคุณภาพและเชิงเชิงระบบระหว่างสองเส้นทาง:
โครงการคลอง 200,000 กม.: เป็นการลงทุนที่สร้าง ทรัพยากรมนุษย์, โครงสร้างพื้นฐาน, รายได้ชนบท, และ สินทรัพย์สาธารณะ พร้อมกัน
FIDF: สร้าง เสถียรภาพทางการเงิน แต่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพใหม่หรือโอกาสแก่แรงงานฐานราก
ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาคนควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้แนวคิด ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์เป็นแนวทางที่ให้ผลตอบแทนสูงและยั่งยืนต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
4.4 บทเรียนเชิงนโยบาย
ผลวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติเหล่านี้ให้บทเรียนเชิงนโยบายที่สำคัญ:
การจัดสรรทรัพยากรสาธารณะเพื่อ สร้างคนและสร้างชาติ โดยตรงผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่าการใช้เพื่อเสถียรภาพการเงินเพียงอย่างเดียว
การจ้างงานฐานรากในโครงการที่สร้างผลผลิตและสินทรัพย์ถาวร มีผลคูณทางเศรษฐกิจสูงและลดความเหลื่อมล้ำในชนบท
การพัฒนาคนควบคู่กับการวางโครงสร้างพื้นฐานเป็นกลไกสำคัญของ ความมั่นคงและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล อย่างแท้จริง
5. Conclusion
บทความวิชาการฉบับนี้ได้ใช้ การวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติแบบฉากทัศน์สมมติ (counterfactual econometric scenario analysis) เพื่อประเมินผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยภายใต้สองเส้นทางการใช้ทรัพยากรสาธารณะในปี 2545 คือ
การเริ่มดำเนิน โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ตาม ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพลซึ่งเน้นการพัฒนาคนควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐานน้ำและการสร้างงานฐานราก
การบริหารหนี้สาธารณะผ่าน FIDF เพื่อเสถียรภาพทางการเงิน
ผลลัพธ์ชี้ว่า โครงการคลอง 200,000 กม. จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสะสมกว่า 18.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568 จากการเพิ่มผลผลิตเกษตร การลดความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้ง การสร้างงานฐานราก รายได้ท่องเที่ยว และสินทรัพย์สาธารณะถาวร ขณะที่การบริหารหนี้ FIDF แม้รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน แต่ไม่ได้สร้างสินทรัพย์ถาวรหรือเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจในภาคชนบท
บทวิเคราะห์นี้สะท้อน คุณูปการของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในฐานะรัฐบุรุษผู้ริเริ่มปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ที่ยืนยันว่า การพัฒนาคนและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อโอกาสเท่าเทียมสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม คือรากฐานของความเจริญเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนของประเทศ
ข้อสรุปเชิงนโยบายสำคัญ ได้แก่
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานน้ำที่สอดคล้องกับการสร้างงานและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ–สังคมสูงกว่าและยั่งยืนกว่าการใช้เงินเพื่อเสถียรภาพการเงินเพียงอย่างเดียว
การจ้างงานฐานรากและการสร้างสินทรัพย์สาธารณะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ และเพิ่มความมั่นคงให้กับชนบท
ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็นแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่นำไปสู่ การพัฒนาชาติอย่างครบมิติ โดยรวมเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรมนุษย์
สรุปได้ว่า การดำเนินงานตามปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ตั้งแต่ปี 2545 จะสร้างอนาคตประเทศไทยที่มั่นคง ยั่งยืน และเท่าเทียมมากกว่าการบริหารเงินกู้เพื่อเสถียรภาพการเงินเพียงอย่างเดียว ผลการวิเคราะห์นี้จึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันความสำคัญของแนวทางการพัฒนาคนควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐานตามวิสัยทัศน์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล