รัฐบาลประชานิยม 2544-2549 ใช้เงิน 780000ล้าน ในการอุ้มคนรวย แทน การขุดคลองเพื่อคนจน

กระทู้สนทนา
ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล:การวิเคราะห์เชิงฉากทัศน์ทางเศรษฐมิติระหว่างโครงการคลองและการบริหารหนี้ FIDF


1. บทนำ
ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็น ปรัชญาสร้างคน สร้างชาติ ด้วยการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม ที่ให้ความสำคัญสูงสุดแก่การพัฒนา “มนุษย์” ในฐานะรากฐานของความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ปรัชญานี้ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นว่า การยกระดับคุณภาพการศึกษา การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการดำรงชีพ การเพิ่มศักยภาพแรงงาน และการสร้างสินทรัพย์สาธารณะที่ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ คือเงื่อนไขจำเป็นของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งยังเป็นรากฐานของประเทศไทยในฐานะสังคมที่เจริญด้วยปัญญา ความสามารถ และโอกาสที่เท่าเทียม
ภายใต้คุณูปการทางการศึกษาของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ซึ่งได้รับการรับรองโดยองค์กรระดับนานาชาติ อาทิ UNESCO, SEAMEO และสถาบันการศึกษาต่างประเทศหลายแห่ง ปรัชญานี้ได้ถูกประยุกต์สู่การออกแบบนโยบายสาธารณะในหลายช่วงเวลา โดยมุ่งหมายให้การศึกษานำการพัฒนา และให้โครงสร้างพื้นฐานรับใช้การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ไม่ใช่การเติบโตเชิงตัวเลขเพียงผิวเผิน แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหลายฉบับ รวมถึงงานปฏิรูปประเทศไทยช่วงปี 2538–2541 ซึ่งมีพัฒนาการสำคัญด้านการศึกษาที่ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารของ UNESCO (1996–2006)

หนึ่งในกรณีศึกษาที่สะท้อนพลังของปรัชญานี้อย่างชัดเจนคือ “โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร” ซึ่งมีรากฐานจากการวางยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานน้ำช่วงปี 2536 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเครือข่ายการระบายน้ำ การชลประทาน การผลิตอาหาร และการจ้างงานรากหญ้าในทุกพื้นที่ของประเทศ คลองความลึกไม่เกิน 2 เมตรที่ขุดด้วยแรงงานคน ไม่ใช่เพียงโครงสร้างทางวิศวกรรม แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานเพื่อศักยภาพมนุษย์” ที่เชื่อมโยงการพัฒนาน้ำ เกษตร การศึกษา การมีงานทำ และคุณภาพชีวิตของชุมชนเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ

ในปี 2545 รัฐบาลได้เลือกใช้วงเงินประมาณ 780,000 ล้านบาทเพื่อการบริหารจัดการภาระหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งรวมถึงการเสริมเสถียรภาพของระบบการเงินภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปลายทศวรรษ 2540 ทางเลือกดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ด้านเสถียรภาพมหภาคที่สำคัญ แต่อาจไม่ได้สร้างสินทรัพย์สาธารณะใหม่หรือยกระดับผลิตภาพทางเศรษฐกิจในภาคชนบทอย่างเป็นรูปธรรม

ประเด็นนี้นำไปสู่คำถามเชิงวิชาการที่บทความฉบับนี้ต้องการตอบ ได้แก่

หากประเทศไทยเลือกใช้วงเงินเดียวกันในปี 2545 เพื่อเริ่มดำเนินโครงการคลอง 200,000 กิโลเมตรภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อถึงปี 2568?

การตอบคำถามนี้มิใช่การวิจารณ์ทางการเมือง หากแต่เป็นการวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติภายใต้แบบจำลองฉากทัศน์สมมติ (counterfactual econometric analysis) เพื่อทำความเข้าใจ “ต้นทุนโอกาสแห่งการพัฒนา” และเพื่อถอดบทเรียนเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านนโยบายสาธารณะของประเทศ โดยยึดหลักคุณค่าของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ผู้มีคุณูปการต่อการพัฒนาคนไทยและอนาคตของชาติอย่างเป็นระบบ

2. ทบทวนวรรณกรรม
การทบทวนวรรณกรรมส่วนนี้แบ่งเป็น 4 มิติสอดคล้องกับแกนของการวิเคราะห์ในบทความ ได้แก่ (1) วรรณกรรมด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ (2) วรรณกรรมด้านโครงสร้างพื้นฐานน้ำและการพัฒนาชนบท (3) วรรณกรรมเชิงเศรษฐมิติที่เกี่ยวข้องกับผลคูณทางเศรษฐกิจ การผลิตเกษตร ความเสี่ยงภัยพิบัติ และการท่องเที่ยว และ (4) วรรณกรรมด้านการบริหารเสถียรภาพการเงินของรัฐ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์เชิงฉากทัศน์ของบทความนี้

2.1 วรรณกรรมด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล มีฐานรากจากการศึกษาที่มุ่งเน้น “การพัฒนาคนก่อนพัฒนาเศรษฐกิจ” โดยมีหลักฐานในงานของ UNESCO, SEAMEO, Philippine Normal University และ UNESCO–IBE ในช่วงปี 1995–2006 ซึ่งมักเน้นลักษณะเด่นของการปฏิรูปการศึกษายุค 2538–2541 ได้แก่

การจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การมุ่งสร้างสมรรถนะของแรงงานไทยสำหรับอนาคต
การพัฒนาครู การอบรมวิชาชีพ และระบบเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
เอกสารด้านการปฏิรูปการศึกษาของ UNESCO (1996, 1998, 2006) มองว่าแนวทางดังกล่าวช่วยขยายโอกาสทางการศึกษาและเพิ่มความเท่าเทียมด้านคุณภาพ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการใน ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ที่ส่งเสริมให้ “การศึกษาเป็นต้นทุนตั้งต้นของโครงสร้างเศรษฐกิจฐานมนุษย์”
งานของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เช่น Educational Reform for Human-Centered Development (1995–1998) และ Human Development as the Foundation of National Competitiveness (1996) ได้ระบุว่า การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อโอกาส (infrastructure for opportunity) เช่น น้ำเพื่อการผลิต การคมนาคม และบริการสาธารณะอื่น ๆ คือส่วนหนึ่งของการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของคุณภาพคนและเศรษฐกิจไปพร้อมกัน

ดังนั้น วรรณกรรมชุดนี้เป็นฐานสำคัญที่รองรับการวิเคราะห์ในบทความว่า โครงสร้างพื้นฐานน้ำ (คลอง 200,000 กม.) เป็นรูปธรรมของการสร้างคนและสร้างชาติ ตามหลักปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์โดยตรง

2.2 วรรณกรรมด้านโครงสร้างพื้นฐานน้ำ–การชลประทาน–การพัฒนาชนบท
วรรณกรรมด้านทรัพยากรน้ำชี้อย่างสอดคล้องร่วมกันว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานน้ำมีผลต่อผลิตภาพทางการเกษตร รายได้ชนบท และเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

รายงานของ World Bank (2011–2020) ระบุว่าน้ำท่วม–น้ำแล้งเป็นปัจจัยที่สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงสุดลำดับต้น ๆ ของไทย และการมีโครงข่ายน้ำเชื่อมต่อกันทั่วประเทศจะลดต้นทุนได้มากกว่า 50–70%

Royal Irrigation Department (2000–2023) แสดงว่า พื้นที่เกษตรที่ได้รับประโยชน์จากการชลประทานมีผลผลิตเฉลี่ยสูงกว่าพื้นที่ไร้น้ำอย่างต่อเนื่อง
ADB (2015) ยืนยันว่า “water security” เป็นปัจจัยหลักของ productivity growth ในชนบทเอเชีย

งานกลุ่มนี้สนับสนุนสมมติฐานของบทความว่า คลอง 200,000 กิโลเมตร จะเพิ่มผลิตภาพการเกษตร ลดความเสี่ยงภัยพิบัติ และยกระดับความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในแบบจำลอง Agricultural Production Function และ Disaster Cost Avoidance Model

2.3 วรรณกรรมเชิงเศรษฐมิติ: ผลคูณทางเศรษฐกิจ ผลผลิตเกษตร ความเสี่ยงภัยพิบัติ และคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ในเชิงเศรษฐมิติ งานของ Samuelson & Nordhaus (2010) และ Mankiw (2021) ให้หลักการเรื่อง Keynesian Multiplier ว่า การจ้างงานในภาคแรงงานรายได้น้อยมักให้ผลคูณสูง โดยเฉพาะในเศรษฐกิจชนบทซึ่งมีอัตราการออมต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับการขุดคลองโดยแรงงานคนที่บทความใช้เป็นสมมติฐาน
ด้านการผลิตเกษตร Wooldridge (2019) และ Greene (2018) ระบุว่า การเพิ่มปริมาณน้ำ (water input) ในฟังก์ชันการผลิตของภาคเกษตรมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อผลผลิตในเขตร้อนชื้น ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ FAO (2018) และ OECD (2017)

ในด้านความเสี่ยงภัยพิบัติ World Bank (2012) และ NESDC (2010–2022) ให้ข้อมูลต้นทุนความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้งของไทยในระดับปีละหลายแสนล้านบาท ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของแบบจำลอง Disaster Cost Avoidance Model

ในด้านการท่องเที่ยว UNWTO (2020) และข้อมูลของ TAT (2000–2023) ยืนยันว่าสิ่งแวดล้อมที่ดี เมืองไร้น้ำท่วม และภูมิทัศน์ชนบทที่มีน้ำตลอดปี ส่งผลต่อรายได้ท่องเที่ยวโดยตรง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (eco-tourism) และเกษตรท่องเที่ยว (agri-tourism)

วรรณกรรมเหล่านี้สนับสนุนแกนสำคัญของการคำนวณทางเศรษฐมิติในบทความ ทั้งในมิติผลผลิต การลดความเสียหาย การจ้างงาน และผลตอบแทนด้านสิ่งแวดล้อม

2.4 วรรณกรรมด้านเสถียรภาพการเงินของรัฐและกรณี FIDF
เอกสารของ Bank of Thailand (2003; 2015–2023) อธิบายภารกิจการบริหารภาระหนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศหลังวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปลายทศวรรษ 2540 โดยเน้นบทบาทของภาครัฐในการดูแลระบบการเงินให้มั่นคงเพื่อป้องกันความเสียหายเชิงระบบ
วรรณกรรมในกลุ่มนี้สะท้อนว่า การใช้ทรัพยากรภาครัฐเพื่อเสถียรภาพการเงินมีความสำคัญด้านเศรษฐกิจมหภาค แต่ไม่ได้สร้างสินทรัพย์สาธารณะหรือเพิ่มผลิตภาพในภาคชนบทโดยตรง ซึ่งเป็นประเด็นที่บทความนำไปเปรียบเทียบเชิงโครงสร้างกับฉากทัศน์โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร

สรุปทบทวนวรรณกรรม
วรรณกรรมทั้งหมดสนับสนุนข้อสังเกต 3 ประการที่เป็นแกนของบทความ คือ
การลงทุนในน้ำและโครงสร้างพื้นฐานชนบทมีผลต่อผลิตภาพและความมั่นคงของประชาชนอย่างชัดเจน
การจ้างงานรากหญ้าให้ผลคูณทางเศรษฐกิจสูงและมีผลต่อการกระจายรายได้
การบริหารภาระหนี้สาธารณะมีบทบาทด้านเสถียรภาพ แต่มิได้สร้างสินทรัพย์ถาวร
ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ซึ่งวางหลักว่าการพัฒนาคนและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตคือเงื่อนไขสำคัญของการสร้างอนาคตชาติที่มั่นคงและยั่งยืน

3. ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
บทความนี้ใช้ การวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติแบบฉากทัศน์สมมติ (Counterfactual Econometric Scenario Analysis) เพื่อประเมินผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยระหว่างปี 2545–2568 ภายใต้สองเส้นทางการใช้ทรัพยากรสาธารณะ ได้แก่
โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ภายใต้ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล
การบริหารจัดการภาระหนี้ 780,000 ล้านบาท ของรัฐบาลประชานิยม 2544–2549

3.1 แบบจำลองเศรษฐมิติที่ใช้
บทความใช้ แบบจำลอง 4 ชุด ประกอบกันเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ–สังคม:
Keynesian Multiplier Model – ประเมินผลคูณทางเศรษฐกิจจากการจ้างงานแรงงานฐานรากในโครงการคลอง
Agricultural Production Function – ประเมินผลผลิตทางการเกษตรจากการขยายโครงสร้างพื้นฐานน้ำและระบบชลประทาน
Disaster Cost Avoidance Model – ประเมินต้นทุนความเสียหายจากน้ำท่วม–น้ำแล้ง และผลประหยัดจากโครงข่ายคลอง
Tourism–Environment Enhancement Model – ประเมินรายได้ท่องเที่ยวจากคุณภาพสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ชนบท

3.2 สมมติฐานการวิเคราะห์
วงเงินลงทุนเท่ากัน คือ 780,000 ล้านบาท
โครงการคลอง เริ่มปี 2545 ขุดคลองด้วยแรงงานคน สร้างโครงข่ายน้ำทั่วประเทศ
FIDF ใช้วงเงินเดียวกันสำหรับการบริหารภาระหนี้และเสถียรภาพระบบการเงิน
อัตราผลตอบแทนการลงทุน (Return on Investment) และการจ้างงานฐานรากอิงจากรายงาน FAO (2018), OECD (2017), World Bank (2011–2020)

3.3 แหล่งข้อมูล
ข้อมูลเศรษฐมิติ: Greene (2018), Wooldridge (2019), Mankiw (2021), Samuelson & Nordhaus (2010)
โครงสร้างพื้นฐานน้ำ: Royal Irrigation Department (2000–2023), ADB (2015)
ภัยพิบัติและต้นทุน: World Bank (2012), NESDC (2010–2022)
การท่องเที่ยว: UNWTO (2020), TAT (2000–2023)
การบริหารหนี้ FIDF: Bank of Thailand (2003; 2015–2023)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่