Sukavichinomics vs. Popularism: วิสัยทัศน์โครงสร้างระยะยาว กับ การกระตุ้นบริโภคระยะสั้น
ประเทศไทยในสองช่วงเวลาทางเศรษฐกิจได้เห็นสองแนวทางนโยบายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งคือ “Sukavichinomics” – การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว
อีกหนึ่งคือ “Popularism” – การแจกเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคอย่างรวดเร็วในระยะสั้น
Sukavichinomics vs. Popularism: วิสัยทัศน์โครงสร้างระยะยาว กับ การกระตุ้นบริโภคระยะสั้น
ประเทศไทยในสองช่วงเวลาทางเศรษฐกิจได้เห็นสองแนวทางนโยบายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งคือ “Sukavichinomics” – การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว
อีกหนึ่งคือ “Popularism” – การแจกเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคอย่างรวดเร็วในระยะสั้น
3. เศรษฐมิติและโมเดลวิเคราะห์
Sukavichinomics ใช้โมเดล Cobb-Douglas:
Y = A·K^α·L^β
การเพิ่ม K (โครงสร้างพื้นฐาน) และ L (แรงงาน) ส่งผลให้ GDP เติบโตอย่างถาวร
ROI ประเมิน 2,000% ภายใน 10 ปี
Popularism ใช้ Keynesian Multiplier:
Multiplier = 1 / (1 - MPC)
หาก MPC = 0.8, ตัวคูณ = 5
ทว่า การรั่วไหล (leakage) ทำให้ผลกระทบต่อ GDP ต่ำกว่าที่คาด
5. บทสรุป
Sukavichinomics คือนโยบายที่เน้น การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก สร้างงาน และเพิ่มผลิตภาพ ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน มีผลถาวรต่อ GDP และการกระจายรายได้
Popularism คือนโยบายที่เน้น การบริโภคในระยะสั้น เพื่อสร้างภาพรวมทางการเมือง แต่ไม่แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และสร้างภาระหนี้ระยะยาว
เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ระหว่าง โครงการคลอง 200,000 กม. ภายใต้ Sukavichinomics กับ โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (Popularism) ภายใต้งบประมาณเท่ากันคือ 500,000 ล้านบาท เราจะใช้กรอบการวิเคราะห์เศรษฐมิติ (Econometrics) โดยเน้นตัวชี้วัดต่อไปนี้:
เปรียบเทียบนโยบาย Sukavichinomics กับ Popularism: คลอง 2 แสนกิโลเมตร vs แจกเงินหมื่น
บทนำ
ในช่วงวิกฤตหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย นโยบายของรัฐจะแสดงให้เห็นถึงทิศทาง ความกล้าหาญ และวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศอย่างชัดเจน ในบริบทของประเทศไทย เราสามารถเปรียบเทียบแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนตามแนวคิด Sukavichinomics กับนโยบายแบบ Popularism ที่เน้นความนิยมเฉพาะหน้าผ่านโครงการ แจกเงินหมื่น ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ปรัชญาและวิสัยทัศน์
Sukavichinomics พัฒนาโดยยึดหลัก “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยใช้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนมีอาชีพ มีศักดิ์ศรี และพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตรจึงเป็นมากกว่าการสร้างคูคลอง — มันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจชนบทอย่างยั่งยืน
ในทางกลับกัน Popularism โดยเฉพาะในรูปแบบ แจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เป็นแนวทางที่เน้น ผลตอบแทนทางการเมืองระยะสั้น โดยอาศัยการโอนเงินตรงถึงประชาชนเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายชั่วคราว โดยไม่มีการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนหรือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร: พลังของโครงสร้างพื้นฐานชุมชนภายใต้ Sukavichinomics
1. ลักษณะโครงการ
โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร เป็นแนวคิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับรากหญ้า ที่เน้นการฟื้นฟูและขุดลอกคลองทั่วประเทศ รวมระยะทางกว่า 200,000 กิโลเมตร โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่:
ฟื้นฟูระบบน้ำเพื่อการเกษตรและชุมชน
ป้องกันน้ำท่วมและบรรเทาภัยแล้ง
เปิดเส้นทางคมนาคมน้ำเพื่อเข้าถึงหมู่บ้านห่างไกล
การดำเนินการเน้นการจ้างแรงงานในชุมชน โดยผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีวิศวกรรมอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดการจ้างงานอย่างทั่วถึง และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
2. ผลทางเศรษฐศาสตร์มหภาค
2.1 เพิ่มผลิตภาพรวมของประเทศ (Total Factor Productivity - TFP)
ลดต้นทุนโลจิสติกส์ในชนบท
ยกระดับระบบชลประทาน ทำให้ผลผลิตทางเกษตรเพิ่มขึ้น
ลดความเสียหายจากน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างมีนัยสำคัญ
2.2 การจ้างงานจำนวนมาก
งานชั่วคราว (ระหว่างก่อสร้าง): ประมาณ 2 ล้านตำแหน่ง เช่น คนขุดคลอง ช่างโยธา แรงงานทั่วไป
งานถาวร (ดูแลหลังโครงการ): ประมาณ 300,000 ตำแหน่ง เช่น ผู้ดูแลระบบน้ำ ผู้บริหารจัดการทรัพยากรในชุมชน
2.3 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect)
อิงจากการประเมินของ IMF เกี่ยวกับ public investment multiplier:
ทุก 1 บาทของการลงทุนรัฐ สร้าง GDP ได้ 1.6 บาท
ผลกระทบนี้เกิดจากการใช้จ่ายและการจ้างงานที่กระจายตัวในพื้นที่ชนบท โดยไม่รั่วไหลออกนอกระบบเศรษฐกิจจริง (real economy)
3. ประโยชน์เชิงโครงสร้าง (Long-run Structural Benefits)
สร้างระบบคลองถาวรที่ช่วยพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของภาคชนบท
เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบเขื่อนขนาดใหญ่
สร้าง “ทุนสังคม” ผ่านการให้อำนาจชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรของตนเอง
4. บทเรียนและนัยเชิงนโยบาย
โครงการนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของ “ประชารัฐเชิงรุก”: รัฐลงทุน แต่เปิดโอกาสให้ชุมชนบริหารจัดการ
ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในเป้าหมายเรื่องน้ำ ความยากจน และการมีส่วนร่วมของประชาชน
เป็นต้นแบบของ นโยบายแบบ Bottom-up ที่รัฐควรยึดถือในการออกแบบโครงการพัฒนาในอนาคต
เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ระหว่าง โครงการคลอง 200,000 กม. ภายใต้ Sukavichinomics กับ โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (Popularism) ภายใต้งบประมาณเท่ากันคือ 500,000 ล้านบาท เราจะใช้กรอบการวิเคราะห์เศรษฐมิติ (Econometrics) โดยเน้นตัวชี้วัดต่อไปนี้:
เปรียบเทียบโครงการ: Sukavichinomics vs Popularism
วิเคราะห์ทางเศรษฐมิติ (Econometrics Framework)
1. ฟังก์ชัน Cobb-Douglas (TFP Analysis):
TFP = A * K^α * L^β
Sukavichinomics: เพิ่มทั้ง K (capital infrastructure) และ L (labor) => A (TFP) สูงขึ้น
แจกเงินหมื่น: ไม่เพิ่ม K หรือ L โดยตรง => TFP คงที่ หรืออาจลดหลังหมดแรงกระตุ้น
2. GDP Effect (Y):
ใช้สูตรจาก IMF public investment model:
Y = αI + βC
Sukavichinomics: α = 1.6 (เพราะเป็น public investment)
แจกเงินหมื่น: β ≈ 0.3–0.5 (เพราะเป็นการบริโภคระยะสั้น)
เทียบผลตอบแทน:
Sukavichinomics: 500,000 × 1.6 = 800,000 ล้านบาท GDP เพิ่มขึ้น
แจกเงินหมื่น: 500,000 × 0.3–0.5 = 150,000–250,000 ล้านบาท GDP เพิ่มขึ้น
ข้อสรุปเชิงนโยบาย
โครงการ คลอง 200,000 กม. เป็นการลงทุนเชิงโครงสร้างที่ให้ผลตอบแทนสูง ทั้งในด้าน GDP, การจ้างงาน และความสามารถในการแข่งขัน
โครงการ แจกเงินหมื่น ให้ผลกระตุ้นระยะสั้นต่ำ และไม่ทิ้งสินทรัพย์หรือผลผลิตระยะยาว
หากพิจารณาด้านความคุ้มค่าเชิงเศรษฐมิติภายใต้งบประมาณเดียวกัน Sukavichinomics มีความคุ้มค่ากว่าหลายเท่า
Sukavichinomics: เศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน
Sukavichinomics คือแนวคิดเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่ริเริ่มโดย ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล ในช่วงปี 2535–2540 โดยผสาน “เศรษฐกิจมหภาคแบบเทคโนแครต” เข้ากับ “ประชานิยมเชิงปฏิบัติ” (Pragmatic Populism) เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนของรัฐโดยมี ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผ่าน 3 เป้าหมายหลัก:
ลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง
ยกระดับผลิตภาพรวมของประเทศ (Total Factor Productivity – TFP)
สร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
3 พันธกิจโครงสร้าง (Structural Missions)
ในบทบาท รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรีชวน 1 , ประธานองค์การรถไฟฟ้ามหานคร หรือ MRT และ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย,คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ผลักดัน “โครงสร้างพื้นฐานเชิงรุก” ที่สำคัญใน 3 ด้าน ได้แก่:
1. สร้างทางพิเศษ
แผนแม่บททางพิเศษกรุงเทพและ ปริมณฑล ผ่านมา 32 ปี ยังไม่เสร็จในปัจจุบัน
แผนแม่บท ทางสายเอเชีย 28 กุมภาพันธุ์ 2540 ระยะทาง 6781 กิโลเมตร
แผนแม่บท ทางหลวง 13 สาย เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2540 มีระยะทางรวม 4,130 กิโลเมต
2. สร้างรางพิเศษ
วางแผนระบบขนส่งมวลชนใน 8 เมืองหลัก: เชียงใหม่, พิษณุโลก, โคราช, อุดรฯ, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, ภูเก็ต, สงขลา
เศึกษา ความเป็นไปได้ รถไฟความเร็วสูงรวมระยะทาง 3,400 กิโลเมตร (พ.ศ. 2537)
กรุงเทพฯ - เชียงใหม่
กรุงเทพฯ - นครราชสีมา
กรุงเทพฯ - หาดใหญ่
กรุงเทพฯ - อุบลราชธานี
กรุงเทพฯ - ขอนแก่น
กรุงเทพฯ - โคราช
มาตรฐานสำคัญ: “25 ตร.กม. ในเขตเมือง = ระบบขนส่งใต้ดิน” (มติ ครม. 17 พ.ค. 2537)
อนุมัติแผนแม่บท MRT กรุงเทพฯ ระยะทาง 314 กม. (มติ ครม. 27 ก.ย. 2537)
3. สร้างทางน้ำพิเศษ
โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
ใช้คลองเป็นโครงข่ายเชื่อมหมู่บ้าน ระบบเกษตร และขนส่ง
กรณีศึกษา: โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร
โครงการนี้เป็น ตัวอย่างต้นแบบของ Sukavichinomics ที่บูรณาการ เศรษฐกิจ – เกษตร – ชุมชน – สิ่งแวดล้อม เข้าด้วยกัน โดย:
ฟื้นฟูคลองเพื่อชลประทานและโลจิสติกส์ระดับท้องถิ่น
ใช้แรงงานชุมชน: สร้างงาน ชั่วคราว 2 ล้านตำแหน่ง, ถาวร 3 แสนตำแหน่ง
เพิ่ม TFP ของเกษตรกรรม และลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (flood resilience)
คิดเป็น ตัวคูณเศรษฐกิจ (Multiplier) 1.6 บาท ต่อ 1 บาทลงทุน
เป็น ต้นแบบของ “ประชารัฐเชิงรุก” และการพัฒนาจากล่างขึ้นบน (Bottom-up)
Sukavichinomics กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
แนวคิดนี้สอดคล้องกับ Sustainable Development Goals (SDGs) หลายข้อ เช่น:
SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
SDG 9: โครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม
SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
SDG 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สรุป: Sukavichinomics คือ
“ไม่ใช่เพียงโมเดลเศรษฐกิจของรัฐ แต่คือระบบความคิดที่เชื่อว่า
การพัฒนาประเทศต้องเริ่มจากคน และชุมชนต้องเป็นเจ้าของโอกาสในการเติบโต”
โครงการคลอง 200,000 กม. ( Sukavichinomics) กับ โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (Popularism)
ประเทศไทยในสองช่วงเวลาทางเศรษฐกิจได้เห็นสองแนวทางนโยบายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งคือ “Sukavichinomics” – การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว
อีกหนึ่งคือ “Popularism” – การแจกเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคอย่างรวดเร็วในระยะสั้น
Sukavichinomics vs. Popularism: วิสัยทัศน์โครงสร้างระยะยาว กับ การกระตุ้นบริโภคระยะสั้น
ประเทศไทยในสองช่วงเวลาทางเศรษฐกิจได้เห็นสองแนวทางนโยบายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งคือ “Sukavichinomics” – การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว
อีกหนึ่งคือ “Popularism” – การแจกเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคอย่างรวดเร็วในระยะสั้น
3. เศรษฐมิติและโมเดลวิเคราะห์
Sukavichinomics ใช้โมเดล Cobb-Douglas:
Y = A·K^α·L^β
การเพิ่ม K (โครงสร้างพื้นฐาน) และ L (แรงงาน) ส่งผลให้ GDP เติบโตอย่างถาวร
ROI ประเมิน 2,000% ภายใน 10 ปี
Popularism ใช้ Keynesian Multiplier:
Multiplier = 1 / (1 - MPC)
หาก MPC = 0.8, ตัวคูณ = 5
ทว่า การรั่วไหล (leakage) ทำให้ผลกระทบต่อ GDP ต่ำกว่าที่คาด
5. บทสรุป
Sukavichinomics คือนโยบายที่เน้น การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก สร้างงาน และเพิ่มผลิตภาพ ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน มีผลถาวรต่อ GDP และการกระจายรายได้
Popularism คือนโยบายที่เน้น การบริโภคในระยะสั้น เพื่อสร้างภาพรวมทางการเมือง แต่ไม่แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และสร้างภาระหนี้ระยะยาว
เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ระหว่าง โครงการคลอง 200,000 กม. ภายใต้ Sukavichinomics กับ โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (Popularism) ภายใต้งบประมาณเท่ากันคือ 500,000 ล้านบาท เราจะใช้กรอบการวิเคราะห์เศรษฐมิติ (Econometrics) โดยเน้นตัวชี้วัดต่อไปนี้:
เปรียบเทียบนโยบาย Sukavichinomics กับ Popularism: คลอง 2 แสนกิโลเมตร vs แจกเงินหมื่น
บทนำ
ในช่วงวิกฤตหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย นโยบายของรัฐจะแสดงให้เห็นถึงทิศทาง ความกล้าหาญ และวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศอย่างชัดเจน ในบริบทของประเทศไทย เราสามารถเปรียบเทียบแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนตามแนวคิด Sukavichinomics กับนโยบายแบบ Popularism ที่เน้นความนิยมเฉพาะหน้าผ่านโครงการ แจกเงินหมื่น ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ปรัชญาและวิสัยทัศน์
Sukavichinomics พัฒนาโดยยึดหลัก “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยใช้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนมีอาชีพ มีศักดิ์ศรี และพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตรจึงเป็นมากกว่าการสร้างคูคลอง — มันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจชนบทอย่างยั่งยืน
ในทางกลับกัน Popularism โดยเฉพาะในรูปแบบ แจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เป็นแนวทางที่เน้น ผลตอบแทนทางการเมืองระยะสั้น โดยอาศัยการโอนเงินตรงถึงประชาชนเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายชั่วคราว โดยไม่มีการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนหรือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร: พลังของโครงสร้างพื้นฐานชุมชนภายใต้ Sukavichinomics
1. ลักษณะโครงการ
โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร เป็นแนวคิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับรากหญ้า ที่เน้นการฟื้นฟูและขุดลอกคลองทั่วประเทศ รวมระยะทางกว่า 200,000 กิโลเมตร โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่:
ฟื้นฟูระบบน้ำเพื่อการเกษตรและชุมชน
ป้องกันน้ำท่วมและบรรเทาภัยแล้ง
เปิดเส้นทางคมนาคมน้ำเพื่อเข้าถึงหมู่บ้านห่างไกล
การดำเนินการเน้นการจ้างแรงงานในชุมชน โดยผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีวิศวกรรมอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดการจ้างงานอย่างทั่วถึง และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
2. ผลทางเศรษฐศาสตร์มหภาค
2.1 เพิ่มผลิตภาพรวมของประเทศ (Total Factor Productivity - TFP)
ลดต้นทุนโลจิสติกส์ในชนบท
ยกระดับระบบชลประทาน ทำให้ผลผลิตทางเกษตรเพิ่มขึ้น
ลดความเสียหายจากน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างมีนัยสำคัญ
2.2 การจ้างงานจำนวนมาก
งานชั่วคราว (ระหว่างก่อสร้าง): ประมาณ 2 ล้านตำแหน่ง เช่น คนขุดคลอง ช่างโยธา แรงงานทั่วไป
งานถาวร (ดูแลหลังโครงการ): ประมาณ 300,000 ตำแหน่ง เช่น ผู้ดูแลระบบน้ำ ผู้บริหารจัดการทรัพยากรในชุมชน
2.3 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect)
อิงจากการประเมินของ IMF เกี่ยวกับ public investment multiplier:
ทุก 1 บาทของการลงทุนรัฐ สร้าง GDP ได้ 1.6 บาท
ผลกระทบนี้เกิดจากการใช้จ่ายและการจ้างงานที่กระจายตัวในพื้นที่ชนบท โดยไม่รั่วไหลออกนอกระบบเศรษฐกิจจริง (real economy)
3. ประโยชน์เชิงโครงสร้าง (Long-run Structural Benefits)
สร้างระบบคลองถาวรที่ช่วยพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของภาคชนบท
เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบเขื่อนขนาดใหญ่
สร้าง “ทุนสังคม” ผ่านการให้อำนาจชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรของตนเอง
4. บทเรียนและนัยเชิงนโยบาย
โครงการนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของ “ประชารัฐเชิงรุก”: รัฐลงทุน แต่เปิดโอกาสให้ชุมชนบริหารจัดการ
ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในเป้าหมายเรื่องน้ำ ความยากจน และการมีส่วนร่วมของประชาชน
เป็นต้นแบบของ นโยบายแบบ Bottom-up ที่รัฐควรยึดถือในการออกแบบโครงการพัฒนาในอนาคต
เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ระหว่าง โครงการคลอง 200,000 กม. ภายใต้ Sukavichinomics กับ โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (Popularism) ภายใต้งบประมาณเท่ากันคือ 500,000 ล้านบาท เราจะใช้กรอบการวิเคราะห์เศรษฐมิติ (Econometrics) โดยเน้นตัวชี้วัดต่อไปนี้:
เปรียบเทียบโครงการ: Sukavichinomics vs Popularism
วิเคราะห์ทางเศรษฐมิติ (Econometrics Framework)
1. ฟังก์ชัน Cobb-Douglas (TFP Analysis):
TFP = A * K^α * L^β
Sukavichinomics: เพิ่มทั้ง K (capital infrastructure) และ L (labor) => A (TFP) สูงขึ้น
แจกเงินหมื่น: ไม่เพิ่ม K หรือ L โดยตรง => TFP คงที่ หรืออาจลดหลังหมดแรงกระตุ้น
2. GDP Effect (Y):
ใช้สูตรจาก IMF public investment model:
Y = αI + βC
Sukavichinomics: α = 1.6 (เพราะเป็น public investment)
แจกเงินหมื่น: β ≈ 0.3–0.5 (เพราะเป็นการบริโภคระยะสั้น)
เทียบผลตอบแทน:
Sukavichinomics: 500,000 × 1.6 = 800,000 ล้านบาท GDP เพิ่มขึ้น
แจกเงินหมื่น: 500,000 × 0.3–0.5 = 150,000–250,000 ล้านบาท GDP เพิ่มขึ้น
ข้อสรุปเชิงนโยบาย
โครงการ คลอง 200,000 กม. เป็นการลงทุนเชิงโครงสร้างที่ให้ผลตอบแทนสูง ทั้งในด้าน GDP, การจ้างงาน และความสามารถในการแข่งขัน
โครงการ แจกเงินหมื่น ให้ผลกระตุ้นระยะสั้นต่ำ และไม่ทิ้งสินทรัพย์หรือผลผลิตระยะยาว
หากพิจารณาด้านความคุ้มค่าเชิงเศรษฐมิติภายใต้งบประมาณเดียวกัน Sukavichinomics มีความคุ้มค่ากว่าหลายเท่า
Sukavichinomics: เศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน
Sukavichinomics คือแนวคิดเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่ริเริ่มโดย ศ.ดร.สุขวิช รังสิตพล ในช่วงปี 2535–2540 โดยผสาน “เศรษฐกิจมหภาคแบบเทคโนแครต” เข้ากับ “ประชานิยมเชิงปฏิบัติ” (Pragmatic Populism) เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนของรัฐโดยมี ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผ่าน 3 เป้าหมายหลัก:
ลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง
ยกระดับผลิตภาพรวมของประเทศ (Total Factor Productivity – TFP)
สร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
3 พันธกิจโครงสร้าง (Structural Missions)
ในบทบาท รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรีชวน 1 , ประธานองค์การรถไฟฟ้ามหานคร หรือ MRT และ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย,คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ผลักดัน “โครงสร้างพื้นฐานเชิงรุก” ที่สำคัญใน 3 ด้าน ได้แก่:
1. สร้างทางพิเศษ
แผนแม่บททางพิเศษกรุงเทพและ ปริมณฑล ผ่านมา 32 ปี ยังไม่เสร็จในปัจจุบัน
แผนแม่บท ทางสายเอเชีย 28 กุมภาพันธุ์ 2540 ระยะทาง 6781 กิโลเมตร
แผนแม่บท ทางหลวง 13 สาย เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2540 มีระยะทางรวม 4,130 กิโลเมต
2. สร้างรางพิเศษ
วางแผนระบบขนส่งมวลชนใน 8 เมืองหลัก: เชียงใหม่, พิษณุโลก, โคราช, อุดรฯ, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, ภูเก็ต, สงขลา
เศึกษา ความเป็นไปได้ รถไฟความเร็วสูงรวมระยะทาง 3,400 กิโลเมตร (พ.ศ. 2537)
กรุงเทพฯ - เชียงใหม่
กรุงเทพฯ - นครราชสีมา
กรุงเทพฯ - หาดใหญ่
กรุงเทพฯ - อุบลราชธานี
กรุงเทพฯ - ขอนแก่น
กรุงเทพฯ - โคราช
มาตรฐานสำคัญ: “25 ตร.กม. ในเขตเมือง = ระบบขนส่งใต้ดิน” (มติ ครม. 17 พ.ค. 2537)
อนุมัติแผนแม่บท MRT กรุงเทพฯ ระยะทาง 314 กม. (มติ ครม. 27 ก.ย. 2537)
3. สร้างทางน้ำพิเศษ
โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
ใช้คลองเป็นโครงข่ายเชื่อมหมู่บ้าน ระบบเกษตร และขนส่ง
กรณีศึกษา: โครงการคลอง 200,000 กิโลเมตร
โครงการนี้เป็น ตัวอย่างต้นแบบของ Sukavichinomics ที่บูรณาการ เศรษฐกิจ – เกษตร – ชุมชน – สิ่งแวดล้อม เข้าด้วยกัน โดย:
ฟื้นฟูคลองเพื่อชลประทานและโลจิสติกส์ระดับท้องถิ่น
ใช้แรงงานชุมชน: สร้างงาน ชั่วคราว 2 ล้านตำแหน่ง, ถาวร 3 แสนตำแหน่ง
เพิ่ม TFP ของเกษตรกรรม และลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (flood resilience)
คิดเป็น ตัวคูณเศรษฐกิจ (Multiplier) 1.6 บาท ต่อ 1 บาทลงทุน
เป็น ต้นแบบของ “ประชารัฐเชิงรุก” และการพัฒนาจากล่างขึ้นบน (Bottom-up)
Sukavichinomics กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
แนวคิดนี้สอดคล้องกับ Sustainable Development Goals (SDGs) หลายข้อ เช่น:
SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
SDG 9: โครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม
SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
SDG 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สรุป: Sukavichinomics คือ
“ไม่ใช่เพียงโมเดลเศรษฐกิจของรัฐ แต่คือระบบความคิดที่เชื่อว่า
การพัฒนาประเทศต้องเริ่มจากคน และชุมชนต้องเป็นเจ้าของโอกาสในการเติบโต”