เพ่งจิต ดูจิต
"ถ้าเวทนาเกิดขึ้น ก็ให้พิจารณาเวทนานั้น
คือความเจ็บ ความปวด ให้ถามมันดูว่า...
มันปวดอะไร อะไรมันปวด "กาย หรือจิต"
มีแต่จิตเท่านั้นแหละปวด
กายเขาเป็นของเขาอย่างนั้นแหละ!
ไม่รู้หรอกเจ็บ-ปวด
ก็มีแต่ใจนั่นแหละ เจ็บ-ปวด
ให้ดูจิตเมื่อมันปวด ตามรู้ตามดูให้มันเห็น พิจารณาให้ชัดๆว่า...อะไรมันปวด
มีแต่จิตเท่านั้นแหละ ไปสำคัญมั่นหมาย
คาดนั่น ปรุงนี่ ไม่ได้หยุด เรื่องนั้นแล้ว
ก็ไปเรื่องนี้
มันไม่อยู่กับตัวเรา ไม่อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ต้องไปคิดมาก ถามมันดูซิว่า...
คิดมาตั้งนานแล้ว คิดแล้วได้อะไร
พ้นทุกข์ไหม? เป็นอย่างนั้นล่ะสังขาร
การคิดมานั้น...เป็นสังขารนะ ไม่เป็นธรรม เพราะไปปรุงเรื่องสังขาร ไม่ได้ดูจิตของตัว
เอง มันส่งออกนอก ไม่ได้ อยู่กับธรรมะ...
การคิดมากนั้นมันทำให้ฟุ้งซ่าน แล้วจะทำ
ให้เราเป็นบ้านะ คิดมาก
เมื่อมันปวดมา ก็อย่าไปสนใจกับมัน
ความปวด ให้เพ่งจิต ดูจิต ถามดูว่า...
มันปวดอะไร ปวดกาย หรือใจ
ให้แยกกาย แยกเวทนา แยกจิตออกจากกัน มันจึงละเอียด
ถ้าเราดูความเจ็บความปวด มันก็ยิ่งปวดมาก เป็นอย่างนั้นล่ะ ไปกดไปข่มมัน ความปวด
มันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ไม่ต้องไปสนใจมันล่ะ!
ปล่อยไปเลย ให้ดูใจอย่างเดียว ก็จะสงบไปเองหรอก
การแยกกาย แยกเวทนาแยกจิตนั้น...
ต้องแยกให้ออกจากกันอย่างเด็ดขาด
คือไม่สนใจกับมันเลย
กายมันปวด ก็ช่าง จิต อย่าไปมั่นหมาย
ไม่ต้องสนใจว่า กายจะเป็นอย่างไร
ภาวนาไปๆ
เมื่อกายมันเห็นจิต ไม่สนใจกับมัน
นานๆเข้า มันก็จะหยุดไปเองหรอก
อย่างนั้นล่ะ หยุดหายไปเอง
ถ้ามันหยุด จิตมันก็รวม ก็สงบเท่านั้นแหละ
ภาวนาไป เกิดนิมิต มันก็ดีเท่านั้นล่ะ
จิต มันก็รวม ก็สงบ แต่อย่าไปยึดไปถือนะ
ให้มีสติ...รู้มันอยู่ อย่าไปตามมัน
ให้รู้ว่า...เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อย่าไปมั่นไปหมาย มันไม่เที่ยง เพราะเกิด
ขึ้นแล้ว ก็ดับไป
ถ้าเราไปยึดไปถือ มันก็เป็นสังขาร ไม่เป็นธรรม มันก็จะตรงต่อไปเรื่อยๆไม่จบ ถ้าเรา
ไปยึด ถ้าไม่ยึดไม่ถือ มันก็จะหยุดไปเอง
นิมิตก็เหมือนกัน ให้มันรู้เฉยๆ
แต่ว่า...
อย่าคาด อย่าหมาย อย่ายึด อย่าถือ
ดังนั้น มันเกิดเจ็บปวดขึ้นมา ก็ให้พิจารณา
ดูมัน ดี ไม่ดีอาจจะหายเลย ก็ได้
ไม่ต้องกลัวมันนะ ภาวนามันไม่เป็นอะไรหรอก เราเองเคยนั่งเครื่องบินไปกรุงเทพฯ เจ็บก้นปวดมากๆ กำหนดพิจารณาดูว่า มันปวดอะไรมันเจ็บอะไร พิจารณาจิตดู ถามมันว่าอะไร
มันเจ็บ พิจารณาไป พิจารณาไป ไม่รู้ว่า...มันหายไปตอนไหน
เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ฝืนมันไม่ได้หรอก
ถ้ามันจะเป็น ไปห้ามมันไม่ได้ ความเจ็บ
ความตาย ชาติ ชรา มรณะ
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้เลือกกาลเวลานะว่า...อยู่ที่ไหน ให้เราอยู่กับคำภาวนา
มีสติรู้พร้อม
เวลาธาตุขันธ์จะแตกดับ จิตมันก็รู้
มันก็ไม่ต้องลงอบายเท่านั้นล่ะ
มันมีที่หวังของจิต ถ้าเราภาวนา
ไม่ต้องกลัวมันหรอก ความเจ็บความตาย
เกิดแล้วไม่ตาย ไม่มี ตายหมดสัตว์โลก
ใช้คำที่พระพุทธเจ้าท่านพูดไว้นะ
มันเป็นของใช้ ใช้กินใช้อยู่ใช้ภาวนาไปด้วย จึงไม่ต้องห่วงกับมัน ไม่ต้องกลัวกับความตาย ถ้าเราภาวนาไม่ต้องกลัวมัน
มันไม่ตายง่ายหรอกถ้าเรามีสติ...
ให้มีสติดูจิตไป กำหนดไป
ความเจ็บความปวด มันก็หายไปเองหรอก
เอ้อ! ธาตุขันธ์นะ แก่มาแล้ว...มันเป็นไป
ทุกอย่าง เดี๋ยวอันนั้น เดี๋ยวอันนี้ .เจ็บนั่น
ปวดนี่ หาเรื่องไปเรื่อยๆไม่หยุด มันเป็นไป
ตามสังขาร ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิทุกขัง
ความเกิด ความแก่ ความตาย มันเป็นทุกข์
ให้ดูมันนั่นล่ะ...
ดูใจนั่นล่ะ เผื่อบางทีจิตมันรวม
ดูมันเข้า พระพุทธเจ้าท่านว่า ธาตุขันธ์
มันเป็นก้อนโรคเว่ย พิจารณามันนั่นล่ะ"
หลวงปู่เพียร วิริโย
ปฏิบัติธรรมแล้วเกิดปวดเมื่อยอะไรมันปวดจิตหรือกาย
"ถ้าเวทนาเกิดขึ้น ก็ให้พิจารณาเวทนานั้น
คือความเจ็บ ความปวด ให้ถามมันดูว่า...
มันปวดอะไร อะไรมันปวด "กาย หรือจิต"
มีแต่จิตเท่านั้นแหละปวด
กายเขาเป็นของเขาอย่างนั้นแหละ!
ไม่รู้หรอกเจ็บ-ปวด
ก็มีแต่ใจนั่นแหละ เจ็บ-ปวด
ให้ดูจิตเมื่อมันปวด ตามรู้ตามดูให้มันเห็น พิจารณาให้ชัดๆว่า...อะไรมันปวด
มีแต่จิตเท่านั้นแหละ ไปสำคัญมั่นหมาย
คาดนั่น ปรุงนี่ ไม่ได้หยุด เรื่องนั้นแล้ว
ก็ไปเรื่องนี้
มันไม่อยู่กับตัวเรา ไม่อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ต้องไปคิดมาก ถามมันดูซิว่า...
คิดมาตั้งนานแล้ว คิดแล้วได้อะไร
พ้นทุกข์ไหม? เป็นอย่างนั้นล่ะสังขาร
การคิดมานั้น...เป็นสังขารนะ ไม่เป็นธรรม เพราะไปปรุงเรื่องสังขาร ไม่ได้ดูจิตของตัว
เอง มันส่งออกนอก ไม่ได้ อยู่กับธรรมะ...
การคิดมากนั้นมันทำให้ฟุ้งซ่าน แล้วจะทำ
ให้เราเป็นบ้านะ คิดมาก
เมื่อมันปวดมา ก็อย่าไปสนใจกับมัน
ความปวด ให้เพ่งจิต ดูจิต ถามดูว่า...
มันปวดอะไร ปวดกาย หรือใจ
ให้แยกกาย แยกเวทนา แยกจิตออกจากกัน มันจึงละเอียด
ถ้าเราดูความเจ็บความปวด มันก็ยิ่งปวดมาก เป็นอย่างนั้นล่ะ ไปกดไปข่มมัน ความปวด
มันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ไม่ต้องไปสนใจมันล่ะ!
ปล่อยไปเลย ให้ดูใจอย่างเดียว ก็จะสงบไปเองหรอก
การแยกกาย แยกเวทนาแยกจิตนั้น...
ต้องแยกให้ออกจากกันอย่างเด็ดขาด
คือไม่สนใจกับมันเลย
กายมันปวด ก็ช่าง จิต อย่าไปมั่นหมาย
ไม่ต้องสนใจว่า กายจะเป็นอย่างไร
ภาวนาไปๆ
เมื่อกายมันเห็นจิต ไม่สนใจกับมัน
นานๆเข้า มันก็จะหยุดไปเองหรอก
อย่างนั้นล่ะ หยุดหายไปเอง
ถ้ามันหยุด จิตมันก็รวม ก็สงบเท่านั้นแหละ
ภาวนาไป เกิดนิมิต มันก็ดีเท่านั้นล่ะ
จิต มันก็รวม ก็สงบ แต่อย่าไปยึดไปถือนะ
ให้มีสติ...รู้มันอยู่ อย่าไปตามมัน
ให้รู้ว่า...เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อย่าไปมั่นไปหมาย มันไม่เที่ยง เพราะเกิด
ขึ้นแล้ว ก็ดับไป
ถ้าเราไปยึดไปถือ มันก็เป็นสังขาร ไม่เป็นธรรม มันก็จะตรงต่อไปเรื่อยๆไม่จบ ถ้าเรา
ไปยึด ถ้าไม่ยึดไม่ถือ มันก็จะหยุดไปเอง
นิมิตก็เหมือนกัน ให้มันรู้เฉยๆ
แต่ว่า...
อย่าคาด อย่าหมาย อย่ายึด อย่าถือ
ดังนั้น มันเกิดเจ็บปวดขึ้นมา ก็ให้พิจารณา
ดูมัน ดี ไม่ดีอาจจะหายเลย ก็ได้
ไม่ต้องกลัวมันนะ ภาวนามันไม่เป็นอะไรหรอก เราเองเคยนั่งเครื่องบินไปกรุงเทพฯ เจ็บก้นปวดมากๆ กำหนดพิจารณาดูว่า มันปวดอะไรมันเจ็บอะไร พิจารณาจิตดู ถามมันว่าอะไร
มันเจ็บ พิจารณาไป พิจารณาไป ไม่รู้ว่า...มันหายไปตอนไหน
เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ฝืนมันไม่ได้หรอก
ถ้ามันจะเป็น ไปห้ามมันไม่ได้ ความเจ็บ
ความตาย ชาติ ชรา มรณะ
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้เลือกกาลเวลานะว่า...อยู่ที่ไหน ให้เราอยู่กับคำภาวนา
มีสติรู้พร้อม
เวลาธาตุขันธ์จะแตกดับ จิตมันก็รู้
มันก็ไม่ต้องลงอบายเท่านั้นล่ะ
มันมีที่หวังของจิต ถ้าเราภาวนา
ไม่ต้องกลัวมันหรอก ความเจ็บความตาย
เกิดแล้วไม่ตาย ไม่มี ตายหมดสัตว์โลก
ใช้คำที่พระพุทธเจ้าท่านพูดไว้นะ
มันเป็นของใช้ ใช้กินใช้อยู่ใช้ภาวนาไปด้วย จึงไม่ต้องห่วงกับมัน ไม่ต้องกลัวกับความตาย ถ้าเราภาวนาไม่ต้องกลัวมัน
มันไม่ตายง่ายหรอกถ้าเรามีสติ...
ให้มีสติดูจิตไป กำหนดไป
ความเจ็บความปวด มันก็หายไปเองหรอก
เอ้อ! ธาตุขันธ์นะ แก่มาแล้ว...มันเป็นไป
ทุกอย่าง เดี๋ยวอันนั้น เดี๋ยวอันนี้ .เจ็บนั่น
ปวดนี่ หาเรื่องไปเรื่อยๆไม่หยุด มันเป็นไป
ตามสังขาร ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิทุกขัง
ความเกิด ความแก่ ความตาย มันเป็นทุกข์
ให้ดูมันนั่นล่ะ...
ดูใจนั่นล่ะ เผื่อบางทีจิตมันรวม
ดูมันเข้า พระพุทธเจ้าท่านว่า ธาตุขันธ์
มันเป็นก้อนโรคเว่ย พิจารณามันนั่นล่ะ"
หลวงปู่เพียร วิริโย