ในช่วง ปี 2536–2540 ประเทศไทยเริ่มวางรากฐานสำคัญของประเทศ:
การศึกษา ถูกปฏิรูปอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษา
สาธารณสุข ขยายสิทธิการรักษาพยาบาลให้ประชาชนตามรัฐธรรมนูญ 2540
โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางพิเศษ ระบบขนส่งมวลชน และเศรษฐกิจฐานชุมชน ถูกวางแผนและออกแบบเชิงระบบ
สิ่งเหล่านี้เป็น งานเชิงโครงสร้าง (systemic design) ที่เน้นผลลัพธ์ระยะยาว ไม่ได้สร้างเพื่อสร้างเครดิตทางการเมืองเฉพาะหน้า
เมื่อถึง ปี 2544–2549 รัฐบาลใหม่ที่ใช้แนวทางประชานิยมเข้ามา
พวกเขา ประชาสัมพันธ์โครงการต่าง ๆ ว่าเป็นผลงานของตัวเอง เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ กองทุนหมู่บ้าน หรือพักหนี้เกษตรกร
แท้จริงแล้ว โครงการ ถูกวางระบบไว้แล้วโดยรัฐบาลก่อนหน้า
ผลลัพธ์ระยะยาวจึงเป็น อานิสงส์จากงานก่อนหน้า ไม่ใช่ผลงานใหม่ของรัฐบาลประชานิยม
พูดง่าย ๆ คือรัฐบาลประชานิยม “เก็บแต้มเครดิต” แต่ไม่ได้สร้างโครงสร้างใหม่
บทเรียนเชิงระบบ vs การเมือง
ระบบเข้มแข็ง = ผลลัพธ์ยั่งยืน
งานที่วางระบบดีสามารถดำเนินต่อเนื่องได้ แม้เจอการเมืองที่ไม่ซื่อสัตย์
ผู้นำดี = เสริมระบบ
หากผู้นำมีวิสัยทัศน์และคุณธรรม จะช่วยให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น
แต่ ผู้นำดีอย่างเดียวไม่พอ หากระบบไม่แข็งแรง ผลงานอาจถูกดึงเครดิตหรือทำลายได้
แยกระบบกับการเมืองส่วนตัว
ต้องแยกความสำเร็จของระบบกับการโฆษณาทางการเมือง
ระบบที่มั่นคงช่วยป้องกันการแทรกแซงจากผู้ที่มีอคติ
สรุป
รัฐบาลปี 2540 วางระบบสำคัญของประเทศ → ผลลัพธ์ต่อเนื่องหลายปี
รัฐบาลปี 2544–2549: ใช้ระบบเดิม ทำการตลาดทางการเมือง → ผลลัพธ์ระยะยาวมาจากงานก่อนหน้า
หัวใจของความสำเร็จ = ระบบเข้มแข็ง + ผู้นำมีวิสัยทัศน์ → ผลงานยั่งยืน แม้เจอการเมืองสกปรก
เปรียบเทียบระบบ vs การตลาดการเมือง
1. ระบบรถไฟ (Systemic Design)
ลองนึกถึง การสร้างระบบรถไฟของประเทศ
รัฐบาลปี 2540 ทำงานแบบนี้:
วางรางรถไฟให้เชื่อมเมืองต่าง ๆ
สร้างสถานีและสัญญาณให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง
กำหนดตารางเดินรถให้ประชาชนสามารถใช้รถไฟได้สะดวก
ผลลัพธ์:
แม้รัฐบาลเปลี่ยนไปอีก 10 ปี รถไฟก็ยังวิ่งได้
ประชาชนได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
ข้อดี: ยั่งยืน, ใช้งานได้จริง, ไม่ขึ้นกับคนเพียงคนเดียว
2. การโฆษณา (Political Credit-Claiming)
รัฐบาลปี 2544–2549 เหมือน คนขึ้นรถไฟแล้วบอกว่าตัวเองสร้างรางเอง
โฆษณา สนามบิน, กองทุนหมู่บ้าน, พักหนี้เกษตรกร
แท้จริงรางรถไฟและสถานีถูกวางไว้แล้วจากรัฐบาลก่อนหน้า
ผลลัพธ์:
คนเห็นภาพเหมือนมีผลงานใหญ่ แต่จริง ๆ เป็นแค่ ประชาสัมพันธ์
ถ้าระบบไม่แข็งแรง ผลงานก็หายหรือเครดิตถูกดึงไป
ข้อคิดสำคัญจากเปรียบเทียบนี้
ระบบแข็งแรง = รถไฟวิ่งได้ต่อเนื่อง
ผู้นำดี = คนดูแลสถานีให้รถไฟไม่ชนกัน
ประชาสัมพันธ์เก่ง = แค่บอกคนอื่นว่าตัวเองสร้างรถไฟ แต่รถไฟไม่ได้สร้างใหม่
สุดท้าย: ประโยชน์จริง ๆ มาจาก การสร้างระบบที่มั่นคง ไม่ใช่แค่การโฆษณา
สรุปสั้น ๆ:
ระบบดี + ผู้นำมีวิสัยทัศน์ = รถไฟวิ่งยาว ๆ แม้เจอการเมืองสกปรก
การตลาดเก่ง = แค่โชว์ภาพ แต่ผลลัพธ์ไม่ยั่งยืน
การเมืองที่ไม่ซื่อสัตย์
การตลาดเก่ง = แค่โชว์ภาพ แต่ผลลัพธ์ไม่ยั่งยืน