"ซออี๊" ปั้นขนมบัวลอยต้อนรับเทศกาล "ตังโจ็ยะ"(冬节)
อีกเพียงเดือนเศษๆจะได้กินขนมอี๊ หรือขนมบัวลอยในเทศกาลตังโจ็ยะที่จะถึงนี้กันแล้ว ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 21 ธค. 68 ไว้ใกล้ๆแล้วแม่นันจะมาแจกสูตร "ขนมบัวลอย" ค่ะ
"ตังโจ็ยะ" หรือวันไหว้ขนมบัวลอย ที่ชาวจีนแต้จิ๋วนิยมกลับบ้านมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บางทีอาจกล่าวได้ว่าสำคัญมากกว่าตรุษจีนกับเช็งเม้งเสียอีก ในสมัยโบราณถึงกับมีคำกล่าวเปรียบเปรยไว้ว่า “ตังโจ็ยะไม่กลับบ้านถือว่าเป็นคนไม่มีบรรพบุรุษ ตรุษจีนไม่กลับบ้านถือว่าเป็นคนไม่มีเมีย” โดยในปัจจุบันตังโจ็ยะถือเป็นหนึ่งในแปดเทศกาลสำคัญของชาวจีนแต้จิ๋ว ในสมัยก่อนชาวจีนโพ้นทะเลมักจะกลับบ้านไปไหว้บรรพบุรุษในช่วงนี้ แล้วเมื่อเดินทางไปถึงบ้านเกิด ญาติก็จะทำขนมอี๊ไว้ต้อนรับ ด้วยรูปทรงที่กลมและชื่อเรียก “อี๊” ที่มีความหมายไปพ้องกับคำว่า “ถ่วงอี๊” พร้อมหน้าพร้อมตา สามัคคีกลมเกลียว ขนมชนิดนี้จึงกลายเป็นขนมที่นิยมใช้เซ่นไหว้และใช้เป็นของกินรับญาติมิตรได้เป็นอย่างดี ต่อมาจึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ไม่ว่าจะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดช่วงไหนก็ต้องทำอี๊เลี้ยงทุกครั้งไป ทั้งนี้นิยมใส่ไข่ต้มทั้งฟองลงไปด้วย เนื่องจากทั้งอี๊และไข่ต้มเป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลที่ยังไม่แยกออกจากกันและการอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ในเมืองจีนนั้นช่วงตังโจ็ยะอากาศหนาวมาก คนแก่มักทนหนาวไม่ไหวเจ็บป่วยตายไปเสียก่อน ถ้าหากอยู่รอดชีวิตได้มาจนถึงวันนี้ก็เชื่อได้ว่าน่าจะอยู่ต่อไปได้อีกปี ถือเป็นสิริมงคลต่อครอบครัวอีกประการหนึ่งจึงนิยมทำขนมอี๊นี้ขึ้นมาเฉลิมฉลองเป็นสัญลักษณ์ของความพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว การที่ได้กินบัวลอยในเทศกาลตังโจ็ยะก็ถือได้ว่ามีอายุเพิ่มขึ้นมาอีกปีหนึ่งโดยไม่ต้องรอให้พ้นปีใหม่หรือเทศกาลตรุษจีน ในสมัยโบราณถือวันนี้เป็นวันฉลองปีใหม่ ฉะนั้นการกินอี๊ในวันเปลี่ยนผ่านปีตามหลักดาราศาสตร์ และในสมัยโบราณถือวันนี้เป็นวันฉลองปีใหม่ ฉะนั้นการกินอี๊ในวันเปลี่ยนผ่านปีตามหลักโบราณนี้จึงถือว่าได้เพิ่มอายุไปอีก ๑ ขวบปี ประการที่สอง ในสมัยโบราณจะงดประหารนักโทษในวันตังโจ็ยะเนื่องจากอากาศหนาวเย็นทำให้เลือดไหลช้าตายยากเป็นการทรมานต่อผู้ถูกประหารและถือเป็นวันปีใหม่ไม่สมควรมีการประหาร สำหรับนักโทษลหุโทษอาจได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวให้กลับไปฉลองตังโจ่ยะกับครอบครัว ฉะนั้นครอบครัวจึงทำอี๊เพื่อฉลองการกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง นอกจากการกินอี๊และการไหว้อี๊ในเทศกาลตังโจ็ยะแล้ว ในบางครอบครัวยังมีธรรมเนียมเอาอี๊ไปติดแต้มไว้ตามวงกบประตู เครื่องเรือน รวมไปถึงติดตามตัววัว เขาวัวบ้าง ท้องวัวบ้าง เป็นนัยว่าให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงมีแต่ความร่มเย็น แคล้วคลาด มีสุขภาพดีและเจริญรุ่งเรือง โดยอีกความเชื่อหนึ่งก็อธิบายว่าเพื่อรับพลังหยาง เนื่องด้วยเชื่อว่าพลังหยางมีลักษณะกลม
ถึงแม้ว่าขนมอี๊จะมีกรรมวิธีที่ง่ายดายไม่ซับซ้อนเหมือนขนมแบบฉบับแต้จิ๋วยอดฮิตชนิดอื่น ๆ แต่ก็แฝงไปด้วยคุณค่าทางจิตใจและความใส่ใจในทุกรายละเอียดของชาวจีนแต้จิ๋วที่มักจะมีคำสอนเรื่องความกตัญญูปรากฏอยู่บ่อย ๆ ในส่วนของขนมอี๊สิ่งที่สะท้อนคำสอนเรื่องความกตัญญูไม่ใช่เพียงแค่การที่นำขนมไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษเท่านั้น แต่การปั้นอี๊ก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อความกตัญญูรู้คุณและการมีสัมมาคารวะได้ด้วย
การปั้นอี๊ของชาวจีนแต้จิ๋วในเทศกาลตังโจ็ยะมักจะทำกันตอนหัวค่ำก่อนถึงวันตังโจ็ยะหนึ่งวัน พิมพ์ถึงตอนนี้แม่นันอยากนำบรรยากาศการ "ซออี๊" ของที่บ้านมาให้ได้อ่านกัน ซึ่งแม่นันเชื่อว่าหลายๆบ้านก็คงมีประสบการณ์คล้ายๆกัน พูดแล้วยิ่งให้คิดถึง
อาม่าชวนหลานๆนั่งล้อมวงปั้นขนมบัวลอย ทุกปีอาม่าจะพูดประโยคเดิมๆคือ "เจียะอี๊ ตั่วแกเจ็กนี้" (กินขนมบัวลอย โตขึ้นอีกหนึ่งขวบปี) ส่วนพวกเด็กๆก็ปั้นไปบ่นไป "ไม่เห็นอยากโตเลย ไม่กินได้มั้ย" แป้งบัวลอยที่อาม่าปั้นจะกลมๆสวยๆเรียงเต็มตั่งปั๊ว (ตั่งปั๊วโบราณจะเป็นถาดกลมๆมีลายดอกไม้สวยๆตรงกลาง สมัยนี้ไม่ค่อยใช้กันแล้ว) พออาม่าขยับหันมาทางพวกเรา กำลังจะอ้าปากชมว่าเด็กๆ "ซออี๊" เก่งจัง อาม่ากลับอ้าปากค้าง เพราะแทนที่อาม่าจะเห็น "อี๊กลมๆ" กลับเห็นมนุษย์ต่างดาวยืนเรียงเต็มตั่งปั๊ว อาม่าอดหัวเราะไม่ได้ "จ๊อหนี่ลื่อซออี๊ ซอไล้ซอขื่อ บ่วยเหยี่ยง "อี๊" ทำไมพวกลื้อปั้นไปปั้นมาไม่เห็นเหมือนขนมบัวลอยเลย
ถ้าอยู่ในชุมชนชาวจีนที่บ้านติดๆกัน "ชูปีเถ่าบ้วย" (บ้านใกล้เรือนเคียง) ไม่ว่าจะเป็นอาอี๊ อาซ่อ อาโกว อาแจ้ พอเห็นบ้านไหนเริ่มซออี๊ ตัวเองก็จะเข้าบ้านถือถาดแป้งของตัวเองออกมาพร้อมเก้าอี้ส่วนตัว (เก้าอี้ไม้ตัวเล็กๆ) มานั่งล้อมวงร่วมปั้นอี๊ด้วย ปั้นไปคุยไป พอปั้นเสร็จก็แยกย้ายเข้าบ้าน เช้ามาก็ต้มน้ำเชื่อมใส่ เอามาไหว้เจ้า
อาตัวแจ้เล่าว่า สมัยก่อนถึงเวลาไหว้ขนมบัวลอยทีไร เป็นอะไรที่วุ่นวายแกมตลกมากๆ พอไหว้เจ้าเสร็จ อาป๊ะ (คุณพ่อ) ก็บอกให้พวกเราเอาเจ้าลูกบัวลอยนี่ไปเสียบตรงหมึ่งซิ้ง (เทพ/เทวดาที่ประตู) ข้างละเม็ด เสร็จแล้วก็ให้แปะโต๊ะ แปะเก้าอี้ แปะนู่นแปะนี่ แปะเต็มไปหมด ตอนลาเจ้าที่ (ศาลตี่จู้สีแดง) ก็ต้องเอาเม็ดบัวลอยเสียบตรงระเบียงข้างศาลข้างละเม็ดด้วย อาป๊ะบอกว่าแทนความเป็นปึกแผ่น เหนียวแน่น อาตั่วแจ้คิดในใจ "เดี๋ยวมดก็ขึ้นเต็มบ้านหรอก หวานซะขนาดนั้น" อาแจ้เล่าไปหัวเราะไป
"แล้วมดขึ้นมั้ย" แม่นันแกล้งถาม
"ไม่เห็นขึ้นแฮะ มาเห็นตอนหลายๆวันผ่านไป ขนมบัวลอยแข็งโป๊กเลย"
ปัจจุบัน ส่วนตัวแม่นันพอไหว้เสร็จก็นำอี๊มาติดตามศาลเจ้า ตามประตูตามรั้ว เป็นเคล็ดตามที่อาป๊ะเคยบอกไว้ มดไม่ขึ้น แถมติดแน่นแข็งโป๊กแกะไม่ออกเลยค่ะ
ใครเคยมีประสบการณ์ "ซออี๊" บ้าง เล่าหน่อย เล่าหน่อย
"แชร์ ส่งต่อ วัฒนธรรมประเพณี อาหารจีนแต้จิ๋ว เพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษกันค่ะ"
ขอบคุณข้อมูลดีๆ โดย อจ.จักรกฤษณ์ เกษกาญจนานุช
"ซออี๊" ปั้นขนมบัวลอยต้อนรับเทศกาล "ตังโจ็ยะ"(冬节)