เจียะอี๊ ตั่วแกเจ็กนี้ (กินขนมบัวลอย โตขึ้นอีกปี แก่ลงอีกปีแล้วนะคะ)

วันไหว้ขนมบัวลอย
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
วันไหว้ขนมบัวลอย

"ตังโจ็ยะ" ปีนี้ เพื่อนๆได้ไหว้ขนมบัวลอยกันรึเปล่าคะ กินขนมบัวลอยแล้วจะเด็กลงอีกหนึ่งปี จะใช้คำว่าแก่ลงก็เกรงใจตัวเอง อิอิ

ในบรรดาขนมมงคลหลากหลายของชาวจีนแต้จิ๋ว “อี๊” (圆)หรือขนมบัวลอยจัดได้ว่าอยู่ในฐานะขนมอภิมหามงคล ในโอกาสมงคลสำคัญ ๆ ในวิถีชีวิตของชาวจีนแต้จิ๋วไม่ว่าจะเป็น งานแต่งงาน งานแซยิก การต้อนรับพี่น้องที่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ก็ล้วนแต่จำเป็นต้องใช้อี๊เป็นขนมมงคลในการเลี้ยงสังสรรค์กันทุกครั้ง

เทศกาลไหว้ขนมบัวลอยหรือที่ในสำเนียงแต้จิ๋วเรียกว่า “ตังโจ็ยะ” (冬节)วันตังโจ็ยะเป็นคำที่ย่อมาจาก“ตังจี่โจ็ยะ” (冬至节)แปลว่าเทศกาลตงจื๊อหรือเทศกาลเหมายัน ปัจจุบันคนไทยรู้จักเทศกาลนี้ในนามเทศกาลไหว้ขนมบัวลอย บัวลอยที่ทำไหว้เจ้าในเทศกาลตังโจ็ยะก็มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “ตังโจ็ยะอี๊” (冬至圆) “ตงจื๊อ” ในสำเนียงจีนกลางแปลว่าจุดสูงสุดในฤดูหนาว เป็นอุตุปักษ์สำคัญในอุตุปักษ์ทั้ง 24 ของจีน ในวันตงจื๊อนี้เป็นวันที่กลางคืนยาวสุดกลางวันสั้นสุด ตรงกับวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม ของทุกปี เนื่องจากเป็นวันที่กลางคืนยาวสุดกลางวันสั้นสุดในรอบปีโลกจึงได้รับไอเย็นหรือพลังยินสูงสุด ในวันตังโจ็ยะนี้ในสมัยโบราณถือเป็นวันปีใหม่มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงยกเอาปีใหม่ไปฉลองกันช่วงตรุษจีน วันตังโจ็ยะจึงค่อยๆถูกลดความสำคัญลง แต่ชาวจีนทางใต้ไม่ว่าจะเป็นแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยนหรือไต้หวัน ก็ล้วนแต่ยังคงรักษาประเพณีฉลองเทศกาลนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี

ในวันตังโจ็ยะถือเป็นวันที่ชาวจีนแต้จิ๋วนิยมกลับบ้านมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บางทีอาจกล่าวได้ว่าสำคัญมากกว่าตรุษจีนกับเช็งเม้งเสียอีก ในสมัยโบราณถึงกับมีคำกล่าวเปรียบเปรยไว้ว่า “ตังโจ็ยะไม่กลับบ้านถือว่าเป็นคนไม่มีบรรพบุรุษ ตรุษจีนไม่กลับบ้านถือว่าเป็นคนไม่มีเมีย” โดยในปัจจุบันตังโจ็ยะถือเป็นหนึ่งในแปดเทศกาลสำคัญของชาวจีนแต้จิ๋ว ในสมัยก่อนชาวจีนโพ้นทะเลมักจะกลับบ้านไปไหว้บรรพบุรุษในช่วงนี้ แล้วเมื่อเดินทางไปถึงบ้านเกิด ญาติก็จะทำขนมอี๊ไว้ต้อนรับ ด้วยรูปทรงที่กลมและชื่อเรียก “อี๊” ที่มีความหมายไปพ้องกับคำว่า “ถ่วงอี๊” ที่แปลว่าพร้อมหน้าพร้อมตา สามัคคี ขนมชนิดนี้จึงกลายเป็นขนมที่นิยมใช้เซ่นไหว้และใช้เป็นของกินรับญาติมิตรได้เป็นอย่างดี และต่อมาจึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ไม่ว่าจะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดช่วงไหนก็ต้องทำอี๊เลี้ยงทุกครั้งไป ทั้งนี้นิยมใส่ไข่ต้มทั้งฟองลงไปด้วย เนื่องจากทั้งอี๊และไข่ต้มเป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลที่ยังไม่แยกออกจากกันและการอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

ในเมืองจีนนั้นช่วงตังโจ็ยะอากาศหนาวมาก คนแก่มักทนหนาวไม่ไหวเจ็บป่วยตายไปเสียก่อน ถ้าหากอยู่รอดชีวิตได้มาจนถึงวันนี้ก็เชื่อได้ว่าน่าจะอยู่ต่อไปได้อีกปี ถือเป็นสิริมงคลต่อครอบครัวอีกประการหนึ่งจึงนิยมทำขนมอี๊นี้ขึ้นมาเฉลิมฉลองเป็นสัญลักษณ์ของความพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว การที่ได้กินบัวลอยในเทศกาลตังโจ็ยะก็ถือได้ว่ามีอายุเพิ่มขึ้นมาอีกปีหนึ่งโดยไม่ต้องรอให้พ้นปีใหม่หรือเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากเหตุผลสองประการ ประการแรกเพราะในสมัยโบราณถือว่าวันนี้เป็นวันปีใหม่ของฟ้าตามหลักดาราศาสตร์ และในสมัยโบราณถือวันนี้เป็นวันฉลองปีใหม่ ฉะนั้นการกินอี๊ในวันเปลี่ยนผ่านปีตามหลักดาราศาสตร์ และในสมัยโบราณถือวันนี้เป็นวันฉลองปีใหม่ ฉะนั้นการกินอี๊ในวันเปลี่ยนผ่านปีตามหลักโบราณนี้จึงถือว่าได้เพิ่มอายุไปอีก 1 ขวบปี ประการที่สอง ในสมัยโบราณจะงดประหารนักโทษในวันตังโจ็ยะเนื่องจากอากาศหนาวเย็นทำให้เลือดไหลช้าตายยากเป็นการทรมานต่อผู้ถูกประหารและถือเป็นวันปีใหม่ไม่สมควรมีการประหาร สำหรับนักโทษลหุโทษอาจได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวให้กลับไปฉลองตังโจ่ยะกับครอบครัว ฉะนั้นครอบครัวจึงทำอี๊เพื่อฉลองการกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง

นอกจากการกินอี๊และการไหว้อี๊ในเทศกาลตังโจ็ยะแล้ว ในบางครอบครัวยังมีธรรมเนียมเอาอี๊ไปติดแต้มไว้ตามวงกบประตู เครื่องเรือน รวมไปถึงติดตามตัววัว เขาวัวบ้าง ท้องวัวบ้าง เป็นนัยว่าให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงมีแต่ความร่มเย็น แคล้วคลาด มีสุขภาพดีและเจริญรุ่งเรือง โดยอีกความเชื่อหนึ่งก็อธิบายว่าเพื่อรับพลังหยาง เนื่องด้วยเชื่อว่าพลังหยางมีลักษณะกลม

การปั้นอี๊ของชาวจีนแต้จิ๋วในเทศกาลตังโจ็ยะมักจะทำกันตอนหัวค่ำก่อนถึงวันตังโจ่ยะหนึ่งวัน โดยการมานั่งล้อมวงกันของผู้หญิงในบ้านและบรรดาเด็ก ๆ การปั้นอี๊ถือเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งแสดงถึงความตั้งใจและพร้อมใจกันของคนในครอบครัว โดยการปั้นอี๊จะไม่ปั้นให้แต่ละลูกมีขนาดเท่ากัน แต่จะปั้นให้เล็กบ้างใหญ่บ้างผสมกันไป การปั้นอี๊ในลักษณะนี้มีคำเรียกตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า “แป๋จื้อกงซุงอี๊” (父子公孙圆)แปลได้ว่าขนมอี๊พ่อลูกปู่หลานสามชั่วอายุคนที่อยู่ในครอบครัว เป็นเคล็ดว่าให้ปู่ย่าพ่อแม่ลูกหลานอยู่ร่วมบ้านกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง นอกจากนี้การปั้นอี๊ให้มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันยังมีนัยอีกประการหนึ่งคือให้รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่มีสัมมาคารวะ ไม่ใช่ปั้นให้เท่ากันทุกเม็ดจนเรียกได้ว่า “บ่อตั่วบ่อโส่ย” (无大无小)ซึ่งนอกจากจะแปลได้ว่าไม่มีเล็กไม่มีใหญ่แล้วยังมีอีกความหมายหนึ่งคือไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ซึ่งรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการปลูกฝังให้เด็กรู้จักมีสัมมาคารวะนั่นเอง

ช่วยกันแบ่งปันเนื้อหาวัฒนธรรม ประเพณีจีน ให้ลูกหลานรุ่นต่อๆไปนะคะ


ขอบคุณเนื้อหาดีๆ:  เขียนและค้นคว้าโดย อจ. จักรกฤษณ์ เกษกาญจนานุช  สาขาวิชาภาษาจีน  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่