กินปลาแซลมอน เป็นตัวอย่างนึงของปัญหาใหญ่ในยุคนี้

ประเด็นปัญหาใหญ่ๆ  สำหรับปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ  รวมถึงอาหารอะไรต่างๆ ที่มาจากแหล่งธรรมชาติ/แหล่งน้ำจืดและน้ำเค็ม
ก็คือ สารพิษต่างๆ ที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ   นี่คือปัญหาใหญ่อันนึง  เพราะสารเคมี สารพิษอะไรต่างๆ
มันไปสะสมในแหล่งน้ำจืด น้ำทะเล  แหล่งน้ำใต้ดิน  ตามดิน อากาศ ฯลฯ

และถ้าจะเอาปลาไปเพาะพันธุ์และเลี้ยงในฟาร์ม ก็ดูเหมือนจะไปเจอปัญหาใหญ่อีกทางนึง
เพราะ ปลาที่ไม่ได้อยู่ตามแหล่งธรรมชาติ  ไม่ได้กินอาหารตามธรรมชาติ
แต่โดนมนุษย์หาอาหารพิเศษให้กิน เพื่อผลทางการค้า เช่น เพื่อให้โตไว ตัวใหญ่ ประหยัดงบ หรืออื่นๆ
กลายเป็นว่า ปลาพวกนี้ ก็มีความผิดเพี้ยนจากธรรมชาติของเค้า  
สารอาหารในตัวของเค้าก็เปลี่ยนไปมากบ้างน้อยบ้าง
สารพิษที่ตกค้างจากการเลี้ยงก็มีอยู่  และปัญหาโรคในตัวปลาอีกสารพัน

อย่างว่าแหละค่ะ  ก็คนเราเยอะล้นโลก  กินปลา กินอาหารจนแทบจะหมดจากแหล่งธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น  ถ้าจะไปจับปลาตามแหล่งธรรมชาติ ก็เจอสารพิษปนเปื้อนมากบ้างน้อยบ้าง  
แล้วปลาก็เหลือน้อย  ไม่พอต่อการบริโภค
พอเอาปลามาเลี้ยงเป็นธุรกิจ  ปลาก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม  แถมยังเจอปัญหาอีกแบบนึง

ตัวอย่างเช่น   ปลาแซลมอนในฟาร์ม โดนเลี้ยงด้วยอาหารแปลกๆ และยาต่างๆ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ อันนึง ของปัญหาใหญ่ๆ ที่หนียากมากๆ ในยุคนี้
คือ  อาหารต่างๆ มันปนเปื้อนไปด้วยพิษภัยด้วยสารพัดสาเหตุ
ไม่ว่าจะสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่เยอะไปหมดในธรรมชาติ (น้ำ ดิน อากาศ)

หรือ อุตสาหกรรม ธุรกิจ ที่ต้องการทำกำไร  ก็ต้องมีการไปพิสดารดัดแปลงอะไรตามธรรมชาติ
เพื่อให้มีผลผลิตเยอะๆ  ผลิตได้ทัน  เก็บได้ทนนาน  ถูกแปรรูปจนเกิดโทษ และอื่นๆ

ปัจจัยมากมายเหล่านี้ ทำให้ผู้คนยุคนี้ จะกินอะไรสักที มันก็เลี่ยงได้ยากที่จะเจอสารพิษหรือโทษภัยที่ปะปนมา

-------------------------------

เอาจริงๆ แล้ว  ถ้าใครตามข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับอาหาร ยา โภชนาการต่างๆ อยู่เรื่อยๆ
ก็อาจจะรู้สึกคล้ายๆ เรา  คือ   มันมีข้อมูลที่สอดคล้องกันและแย้งกันอยู่ในทุกเรื่องเลยค่ะ
ทั้งหมอ ผู้รู้ นักวิชาการต่างๆ  ทั้งในประเทศและ ตปท   ก็ล้วนดูน่าเชื่อถือทั้งนั้น
แต่พวกเขาก็มีความเห็นตรงข้ามกันหลายเรื่องเลย   จนชาวบ้านทั่วไปก็สับสน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี 555

ถ้าจากประสบการณ์ของเรา คือ มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ยากจะสืบสาวไปได้หมด และยากที่จะควบคุมได้
เช่น  พื้นฐานสุขภาพของแต่ละท่าน  การใช้ชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะการกิน การนอน การออกกำลัง สภาพแวดล้อมที่อยู่  ฯลฯ

เพราะฉะนั้น  ทุกคนต้องแยกแยะดูว่า
1. อาหารแต่ละอย่าง  มันมีสารอาหารอะไรที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษในตัวมันเอง

หรือมันจะมีวิธีกินที่ถูกต้อง ถ้าเอาไปปรุงอาหาร หรือเอาไปกินแบบไม่ถูก ก็กลายเป็นโทษเสียอีก

หรือ สารที่เป็นประโยชน์ก็ตาม แต่ถ้ากินมากไป ก็กลายเป็นส่งผลตรงข้ามไปเลย คือ กลายเป็นโทษ
และปัจจัยอื่นๆ อีกค่ะ

ซึ่งแน่นอนว่า ทุกแหล่งข้อมูลก็จะมีคำแนะนำกว้างๆ ว่า
"ให้บริโภคตามสมควร หรือปริมาณเหมาะสม หรือ กินแต่พอดี"  อะไรประมาณนั้น

แต่ปัญหาคือ  "ความพอดี" ของแต่ละคน  มันก็ไม่เท่ากัน    
แค่ไหนถึงจะ "พอดี"  เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่น้อยค่ะ 555


2.   ไม่ใช่พิจารณาแค่อาหารมันมีสารที่มีประโยชน์อะไร? ยังไง?
แต่ปัญหาใหญ่ในยุคนี้  คือ ตัวอาหารเองมันมีประโยชน์ในตัวของมัน
แต่ที่เป็นปัญหา เพราะอาหารเหล่านั้น มีสารพิษปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม  
หรือจากกรรมวิธีในการผลิต  ฯลฯ

เช่น ผักสด ผลไม้  อะไรทั้งหลาย ก็มีประโยชน์ในตัวมันเอง
แต่กลายเป็นแหล่งรวมสารพิษตกค้างที่มากที่สุดเช่นกัน  
เพราะมันมีสารเคมีที่มาจากการผลิต การเพาะเลี้ยง
ไม่ว่าจะปุ๋ย  สารพิษที่ตกค้างในดิน  ฝน อากาศ ไมโครพลาสติก  ฯลฯ   ซึ่งมันควบคุมยากมากๆ ค่ะ  
แม้แต่ผักปลอดสารพิษที่ขายในห้างดังๆ  เมื่อหลายปีก่อน มีข่าวว่า พอมีหน่วยงานไปตรวจสอบ  
ก็เจอสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน

หรือแหล่งน้ำต่างๆ  ไม่ว่าจะน้ำจืด น้ำเค็ม แหล่งน้ำใต้ดิน เป็นต้น  
ก็กลายเป็นแหล่งน้ำสาธารณะที่สารพิษต่างๆ ไหลลงไปรวมกันสะสมไว้หลายสิบปีค่ะ
คือ มลพิษมันล้นโลก   มันก็ปนเปื้อนไปหมดในสิ่งแวดล้อม
เพราะฉะนั้น  ทั้งสัตว์น้ำต่างๆ พืชน้ำต่างๆ   มันก็ปนเปื้อนสิ่งเหล่านี้แบบยากที่จะควบคุมได้ 100%

รู้แล้วก็ต้องหาทางรับมือแบบไม่เครียด ไม่วิตกเกินไป  เพราะมันหนีลำบากค่ะ
ต่อให้ใครสักคนจะปลูกผักเอง เลี้ยงสัตว์กินเอง กำหนดดินที่ปลูก น้ำที่ใช้
อาหารที่จะเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ  ซึ่งก็ช่วยได้เยอะค่ะ
แต่คงมีคนทำแบบนี้ได้ไม่มากนัก  
และมันก็ไม่ง่ายที่จะควบคุมปัจจัยต่างๆ และสภาพแวดล้อมที่มันปนเปื้อนสารพิษไปหมดค่ะ

เพราะฉะนั้น  ทุกวันนี้  ที่คนป่วยเรื้อรัง ป่วยหนักด้วยโรคร้ายต่างๆ  
สาเหตุสำคัญไม่ใช่เพราะขาดสารอาหารอะไรทางโภชนาการ  
แต่เป็นเพราะ
1. มีสารพิษปนเปื้อนในอาหารและสิ่งแวดล้อม
2. กินมากไป กินผิดวิธี อุตสาหกรรมอาหารที่สร้างโทษ
(อาหารแช่แข็ง ถนอมอาหาร สารปรุงแต่งต่างๆ อาหารแปรรูป เป็นต้น)

-----------------------------

มันก็เลยมีข้อสรุปแบบกว้างๆ จากประสบการณ์ส่วนตัวคือ
1. แหล่งข้อมูลทั่วไป  เค้าจะแนะนำแบบกว้างๆ ว่า  
กินแต่พอดี  กินปริมาณเหมาะสม    
(ซึ่งต่อให้คุณทำงานห้องแล็ป  คุณก็ตรวจเช็กหรือคำนวณยากว่ากินอะไร แค่ไหน ถึงจะเหมาะสมกับตัวเอง)

ก็เลยกลายเป็นคำแนะนำอีกประเภทนึง คือ  อย่ากินอะไรซ้ำๆ บ่อยๆ  ต่อเนื่องนานๆ
เพราะในเมื่อมันควบคุมและตรวจสอบได้ยากว่า กินแค่ไหนถึงจะพอดี  
ก็เอาเป็นว่า  อย่ากินอะไรซ้ำๆ  ต่อเนื่องกันนานๆ ละกัน  
แต่ละท่านก็ต้องไปหาข้อมูล หรือกะประมาณคร่าวๆ กันเอาเอง
หรือไปทดลองดูว่า กินอะไร แค่ไหน ยังไง  ต่อเนื่องนานแค่ไหน แล้วก็ต้องมีช่วงหยุดกินไปบ้าง ฯลฯ

คือ นี่ก็เป็นแค่วิธีหลีกเลี่ยงแบบกว้างๆ ประมาณว่า ถ้ามันจะมีสารพิษอะไรสะสมในร่างกาย  
ร่างกายก็จะได้ขับสารได้ทัน หรือมันจะได้สะสมตกค้างในร่างกายน้อยลง อะไรประมาณนั้น

2. เราอยู่ในยุคที่โลกนี้ มีอุตสาหกรรมเฟื่องฟูมาหลายสิบปีแล้ว
สารพิษอะไรต่างๆ ที่มาจากความเจริญทางเทคโนโลยี   มันสั่งสมอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ อย่างที่หนีได้ยาก
ไม่ว่าจะในแหล่งน้ำ อากาศ ดิน ...ฯลฯ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่คนยุคนี้ต้องสนใจนอกจากการเอา "สารพิษ" เข้าร่างกายให้น้อยลง
ก็คือ  การหาทางเอาสารพิษออกจากร่างกายให้มากขึ้น

ก็ต้องแสวงหาข้อมูลกันดูว่า วิธีใดที่จะขับสารพิษออกจากร่างกายได้บ้าง?
ซึ่งร่างกายก็มีกลไกในการรับมือเรื่องพวกนี้อยู่   แต่พอเจอสารพิษมากๆ บ่อยๆ
ก็ต้องหาตัวช่วยในการช่วยขับสารพิษต่างๆ  ไม่ว่าจะการออกกำลังกาย  
การดูแลตับ ไต ไส้พุง หรืออวัยวะ หรือกลไกต่างๆ ในร่างกายที่จะช่วยขับ/กำจัดสารพิษ  
รวมถึงควรหาความรู้เกี่ยวกับอาหาร หรือสมุนไพร หรือยา หรือวิธีการอื่นๆ ในการขับ/กำจัดสารพิษออกไปจากร่างกายค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่