รัฐควรล้มสัญญารถไฟ 3 สนามบินไป แม้ต้องจ่าย 6 พันล้าน ถ้าไม่ล้ม อาจเสียหายมากกว่า 6 พันล้านก็ได้

เมื่อวาน ก็นึกว่าจะได้บทสรุปอย่างแน่นอนแล้วว่า ซีพีจะทำรถไฟ 3 สนามบินมั้ย จะได้เห็นภาพซีพีแถลงข่าวตอกเสารถไฟเข็มหรือขอยกเลิกสัญญากันแน่ กลายเป็นว่ายังต้องรอเวลา หารือกันอีกรอบ ทำให้ประชาชนรู้สึกเอือมระอา เบื่อหน่าย
  ก่อนหน้านี้ที่คมนาคมบอกว่า จะมีออปชั่นเสริมให้ cp ต่อขยายเส้นทางรถไฟจากอู่ตะเภาไปถึงตราด เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการสร้างรถไฟความเร็วสูง ก็คิดอย่างนึงว่า ถ้ารัฐเห็นว่าโปรเจกต์เสริมนี้คุ้มค่า ทำไมรัฐไม่ทำเองไปเลยล่ะ จะไปให้ cp สร้างทำไม รัฐทำเองสร้างเองดีกว่า

    ทีนี้ก็เข้าเรื่องตามที่บอกว่า ถ้ารัฐล้มสัญญารถไฟ 3 สนามบิน ก็เสี่ยงโดนเอกชนที่ลงทุนทำธุรกิจใน eec ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึง 6,000 ล้าน เพราะเขต eec ต้องมีรถไฟความเร็วสูงไว้เชื่อมต่อการเดินทางใน eec ทั้งหมด  ถ้าไม่มีรถไฟความเร็วสูงซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ eec ก็เกิดไม่ได้
  เรื่องรถไฟความเร็วสูงนี่เชื่อว่า ยังไงรัฐบาลก็ต้องให้มี แต่จะออกมาในรูปแบบไหน  จะจบยังไงก็ต้องดูกันต่อไป
 
  ตอนนี้รัฐบาลควรจะล้มสัญญารถไฟ 3 สนามบินที่ทำไว้กับ cp ก่อน แล้วเปิดประมูลใหม่ แต่ถ้าหากไม่ล้มสัญญาเดิมกับ cp ก็ต้องทำรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนสายตะวันออกแต่วันนี้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนทำธุรกิจใน eec
   เมื่อรัฐได้ลงทุนทำสายสีแดงอ่อนตะวันออกในเขต eec แล้ว ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่ลงทุนใน eec ถึงเวลานั้นจะล้มสัญญาที่ทำไว้กับ cp ก็ไม่เป็นไร เพราะผู้ลงทุนใน eec ได้รับความอุ่นใจที่รัฐมีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาแล้ว ซึ่งรัฐอาจจะถูกฟ้องน้อยกว่า 6,000 ล้าน หรือไม่ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายเลยก็ได้

    ถ้ารัฐล้มสัญญารถไฟ 3 สนามบิน ก็จะได้ยึดรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์กลับมาบริหารเอง หรือให้เอกชนเจ้าอื่นบริหารแทน cp ซึ่งจะช่วยทำให้การสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนช่วงบางซื่อ-ดอนเมืองเร็วขึ้นด้วย ซึ่งระยะสั้นๆอาจจะไม่เห็นว่าคุ้ม ระยะยาวน่าจะคุ้มแน่ เพราะปล่อยไว้นานก็จะเป็นตัวถ่วงรถไฟไทย-จีนช่วงบางซื่อถึงดอนเมือง สร้างไม่ได้ซักที แถม missing link บางซื่อถึงหัวลำโพงก็จะมีปัญหาไปด้วย ค่าความเสียหายดูจะมากกว่า 6 พันล้าน แต่ก่อนจะล้มสัญญาก็ควรจะหาคนมาประมูลต่อขยายทางคู่ตั้งแต่ศรีราชาถึงอู่ตะเภาหรือทำรถไฟฟ้าสายสีแดงตะวันออกไว้ก่อนตามที่แนะไป
 
  วันนี้ ก็หาทางให้คนเดินทางมาอู่ตะเภาโดยใช้เวลาน้อยที่สุดด้วยรถตู้และรถบัสไปก่อน
  ถ้าเดินทางมาจากกรุงเทพด้วยรถบัสโดยใช้เวลาน้อยที่สุด ก็ต้องเดินทางจากจุดที่มีระยะทางที่ใกล้อู่ตะเภาที่สุด นั่นคือ สถานี arl ลาดกระบัง ห่างจากอู่ตะเภา 150 กิโล เดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็ถึงอู่ตะเภา สถานี arl ลาดกระบังจึงเป็นจุดที่ดีที่สุดของการเดินทางเดินด้วยรถโดยสารเพื่อมุ่งหน้าสู่อู่ตะเภา
แต่ก็ควรมีจุดรอรถโดยสารเพื่อมาอู่ตะเภาในกรุงเทพมากกว่า 1 จุด เพื่อความสะดวกของคนหลายพื้นที่ในกรุงเทพที่ต้องการเดินทางมาอู่ตะเภา จุดที่น่าให้เป็นที่ขึ้นรถโดยสารอีกที่นึงคือ สถานีรถไฟฟ้าดอนเมือง ระยะทางจากดอนเมืองมาอู่ตะเภาก็จะไกลขึ้นหน่อย อยู่ที่ 175 กิโลเมตร แต่ก็เป็นจุดที่สะดวกในการเดินทางเข้าถึงรถโดยสาร เพราะเดินทางมาง่ายๆด้วยรถไฟฟ้าสายสีแดง รถจอดรอผู้โดยสารที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าดอนเมือง
  จุดรอรถโดยสารในกรุงเทพเพื่อมาอู่ตะเภาจึงควรมี 2 ที่ ดอนเมืองและลาดกระบัง รถโดยสารที่เดินทางออกมาจาก 2 ที่นี้ ก็วิ่งด่วนตรงสู่อู่ตะเภาโดยไม่จอดรับส่งผู้โดยสารที่ไหน เพื่อทำเวลาให้ถึงอู่ตะเภาด้วยเวลาที่เร็วที่สุด แม้กระทั่งพัทยาก็ไม่ต้องจอด เพราะมีรถในกรุงเทพวิ่งตรงถึงพัทยาอยู่แล้ว ใครอยากไปพัทยาก็ไปนั่งรถเจ้าอื่น ส่วนรถที่วิ่งตรงอู่ตะเภา เมื่อส่งผู้โดยสารที่สนามบินอู่ตะเภาเรียบร้อย จะวิ่งไปส่งคนต่อที่หาดกินรี ท่าเรือจุกเสม็ด หาดธาราภิรมย์ ก็ว่ากันไป รถโดยสารจะมีตัวหนังสือบอกว่า กรุงเทพ-อู่ตะเภา-จุกเสม็ด ให้คนได้เข้าใจกัน
      ที่เหลือก็จะมีรถตู้จากจังหวัดอื่นมาอู่ตะเภา เช่นสระแก้ว-อู่ตะเภา ตราด-อู่ตะเภา ไกลสุดคือโคราช-อู่ตะเภา เพราะรถตู้ทำเวลาได้ช้ากว่ารถไฟ จะให้วิ่งมาจากจังหวัดที่อยู่ไกลมากๆ ก็เกรงว่าจะมีผู้โดยสารมาน้อย ขอสุดแค่โคราชก็น่าจะพอ
    ต่อไปในอนาคต ถ้ามีแท็กซี่บินได้ ก็น่าเอามาให้บริการเส้นทางโคราช-อู่ตะเภา สระแก้ว-อู่ตะเภา

    ส่วนการสร้างรถไฟสายสีแดงตะวันออกแบ่งเฟสได้ดังนี้
เฟส 1 ทำทางคู่ตั้งแต่ศรีราชา-ถึงอู่ตะเภา ย้ายที่ตั้งสถานีอู่ตะเภาใหม่ให้มาอยู่ย่านชุมชนคนหนาแน่น เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในย่านนั้นมากกว่านี้  สถานีตั้งอยู่ระหว่างโลตัสอู่ตะเภา-รพ.พระนางเจ้าสิริกิตต์
เฟส 2 ทำเป็นระบบรถไฟฟ้าสายสีแดงตั้งแต่สถานีลาดกระบัง-อู่ตะเภา
เฟส 3 ต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงจากลาดกระบังถึงบางซื่อ ให้การเดินทางจากนครปฐมถึงอู่ตะเภาสะดวกสบาย ซึ่งก็ต้องรอต่อขยายเส้นทางรถไฟสายสีแดงจากตลิ่งชัน-ศาลายา-นครปฐมด้วย
เฟส 4 ขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงจากนครปฐมไปถึงกาญจนบุรี และขยายจากอู่ตะเภาไประยอง-จันทบุรี-ตราด ให้การเดินทางจากกาญจนบุรี-อู่ตะเภา-ตราด รวดเร็ว ไร้รอยต่อ

   อนาคตก็สร้างรถไฟความเร็วสูงสายเหนือกับตะวันออกแบบรวมเป็นสายเดียว วิ่งตั้งแต่เชียงใหม่-พิษณุโลก-กรุงเทพ-อู่ตะเภา-ตราด

    นอกจากนี้ก็ควรเปิดเส้นทางรถไฟสายตะวันออก-อีสานด้วย เชื่อมการเดินทางและขนส่งสินค้าระหว่างภาคอีสาน-อู่ตะเภาอย่างสะดวกสบาย
  เส้นทางรถไฟได้แก่ โคราช-ปากช่อง-แก่งคอย-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-พัทยา-อู่ตะเภา ใช้เส้นทางรถไฟทางคู่ที่ตัดใหม่ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา-แก่งคอยให้เป็นประโยชน์ จากเดิมที่แค่ขนส่งสินค้าอย่างเดียว ก็เอาขนส่งคนไปอู่ตะเภาด้วย เอารถดีเซลรางวิ่ง สถานีไหนที่เป็นอุโมงค์ ก็สลับมาใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ วิ่งเข้าออกจากอุโมงค์แทน จะได้ไม่เกิดฝุ่นควันในอุโมงค์

    ถ้าสามารถเปิดเส้นทางจากจังหวัดอีสานที่ติดชายแดน-อู่ตะเภาได้ก็ยิ่งดี ได้แก่ หนองคาย-อู่ตะเภา นครพนม-อู่ตะเภา อุบลราชธานี-อู่ตะเภา ซึ่งก็ต้องรอการทำทางคู่ให้เสร็จหมดก่อน
   เมื่อเปิดเส้นทางที่กล่าวมาแล้ว การเดินทางมาอู่ตะเภาจากจังหวัดที่กล่าวมา ก็น่าจะอาศัยเวลาซัก 5-6 ชั่วโมงได้ จอดแค่สถานีใหญ่ของจังหวัดเท่านั้น เช่น
   หนองคาย-อุดร-ขอนแก่น-โคราช-ปากช่อง-แก่งคอย-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-พัทยา-อู่ะเภา
  อุบล-ศรีสะเกษ-สุรินทร์-บุรีรัมย์-โคราช-ปากช่อง-แก่งคอย-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-พัทยา-อู่ตะเภา
   สระแก้ว-ปราจีนบุรี-ชลบุรี-พัทยา-อู่ตะเภา

    ส่วนนครพนม-อู่ตะเภา อาจจะต้องเป็นรถไฟนอน ดูจากระยะทางรถไฟประมาณ 800-900 กิโลเมตร รถดีเซลราง 120 km/h ใช้เวลา 7-8 ชั่วโมง เลือกรถไฟนอนมาให้บริการดีกว่า จัดเวลาให้เดินทางซัก 10-11 ชั่วโมงจากนครพนมถึงอู่ตะเภา อาจจะรับผู้โดยสารช่วงต้นทางแบบถี่ๆสถานีจากนครพนม-มุกดาหาร-ยโสธร และมีรถที่วิ่งมาอู่ตะเภาแต่รอบเช้าด้วย รถวิ่งจากมหาสารคามเป็นสถานีแรก
เส้นทางคือ มหาสารคาม-บ้านไผ่-บัวใหญ่-โคราช-แก่งคอย-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-พัทยา-อู่ตะเภา
ตัดปากช่องออกซักสถานีนึงก็ได้ ทำเวลาให้เร็วขึ้น เพราะมีรถจากโคราชวิ่งไปถึงปากช่อง 2 รอบแล้ว จะช่วยให้ทำเวลาจากมหาสาาคามมาอู่ตะเภาได้เร็วขึ้น

ถ้าพรบ.ขนส่งทางรางฉบับใหม่ออกมา ให้เอกชนเช่าใช้รางได้ ก็ให้ bsr กลุ่มทุนการบินอู่ตะเภาซื้อรถขบวนใหม่ๆมาวิ่ง แบบรถไฟที่มาเลเซียใช้กัน เอามาวิ่งรับคนจากจังหวัดต่างๆมายังอู่ตะเภา
  ดูว่าถ้าวิ่งรับส่งตามนี้ จะทำเวลาถึงอู่ตะเภาได้ดีมั้ย ถ้าเวลาไม่สวยนัก อาจจะมีการตัดการจอดรับส่งซัก 1 สถานีในเส้นทางรถไฟนั้นๆ
ต่อไปก็เปิดเส้นทาง eec-sec ตะวันออก-ใต้ ด้วยเครื่องบินน้ำไฟฟ้าและเรือไฮโดรฟอยล์ หัวหิน-จุกเสม็ด เพชรบุรี-จุกเสม็ด เพื่อให้การเดินทางข้าม 2 ฝั่งทำได้รวดเร็วสะดวกสบาย

  ต่อไปอู่ตะเภาจะเป็นฮับการเดินทางที่ใหญ่มากๆ มีทั้งเครื่องบินเดินทางในประเทศและต่างประเทศ รถไฟไปกรุงเทพ,เหนือ,อีสาน,ตะวันตก สุดทางตะวันออก เรือข้ามฟากระหว่างตะวันออก-ใต้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่