"เพราะเป็นคนชั้นกลางที่เป็นหัวหน้าครอบครัว จึงต้องเจ็บปวด" ท่านเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่.. บางที
No Other Choice งานนี้..ฆ่าเอา.. อาจจะเป็นหนังที่ตีแผ่ให้เห็นภาพของคำกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
หนังเรื่องนี้จะเป็นตัวแทนประเทศเกาหลีใต้ เข้าประกวดในสาขาภาพยนต์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ในเวทีออสการ์ครั้งที่จะถึงในปีหน้านี้ รวมทั้งยังได้รับการ Standing Ovation นานถึง 9 นาที ในเทศกาลหนังเมืองเวนิส และคว้ารางวัลขวัญใจผู้ชม จากเทศกาลหนังโตรอนโตอีกด้วย เป็นผลงานของ ผกก. Park Chan Wook วัย 62 ปี ที่มีผลงานโดดเด่นมาตั้งแต่ยุคต้นปี 2000's อย่างเช่น Oldboy (2003) ฯลฯ ร่วมด้วยนักแสดงแถวหน้าของเกาหลีอย่าง Lee Byung Hun และ Son Ye Jin หนังเรื่องนี้ได้สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากนวนิยายของนักเขียนชาวอเมริกัน Donald Westlake ที่มีชื่อเรื่องว่า The Axe ซึ่งถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1997
หนังพูดถึงเรื่องราวของ Yoo Man Su พนักงานดีเด่นของโรงงานผลิตกระดาษชั้นนำ ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้มายาวนานกว่า 25 ปี และชีวิตของเขาที่ประกอบไปด้วยภรรยา Lee Mi Ri ลูกชายที่เป็นลูกติดภรรยา และลูกสาวตัวน้อยอีกหนึ่งคน พร้อมเจ้าหมาแสนน่ารักอีก 2 ตัว ก็นับว่ามีความมั่นคง เป็นครอบครัวที่พูดได้ว่าสมบูรณ์แบบครอบครัวหนึ่ง อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากกินอะไรก็ได้กิน และตัวเขาเองก็มีงานอดิเรกอย่างการเลี้ยงต้นบอนไซ และเพาะต้นไม้ต่าง ๆ ในเรือนกระจกที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ
หากแต่วันหนึ่ง Yoo Man Su ได้ถูกเลิกจ้างอย่างกระทันหัน ทุกอย่างจึงพลิกผันเปลี่ยนไปจากเดิม จากกำหนด 3 เดือนที่เขาตั้งเป้าหมายว่าจะต้องหางานใหม่ให้ได้ กลับไม่ได้ การเข้าสัมภาษณ์งานแต่ละครั้งไม่ประสบความสำเร็จ และชีวิตของครอบครัวที่เคยสมบูรณ์แบบกลับต้องเปลี่ยนแปลงไป Lee Mi Ri ภรรยาของเขาต้องออกไปรับจ้างทำงาน และเลิกเล่นเทนนิสกีฬาที่ชื่นชอบ ลูกชายต้องยกเลิกสมาชิก Netflix ลูกสาวต้องเลิกเรียนดนตรีที่ตัวเองมีพรสวรรค์ไปอย่างน่าเสียดาย หมา 2 ตัวก็ต้องส่งไปเลี้ยงที่อื่น ตัว Yoo Man Su ก็ต้องเอารถคันที่ใช้ไปแลกเป็นรุ่นที่เก่าขึ้นและเล็กลง และที่สำคัญที่สุด พวกเขากำลังจะต้องเสียบ้าน สถานที่ ๆ เต็มไปด้วยอดีตที่มีความหมาย สถานที่ ๆ บอกถึงสถานะความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา Yoo Man Su และครอบครัวจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อรักษา "บ้าน" และ "ครอบครัว" อันเป็นที่รักของเขาไว้ให้ได้
ตัวหนังออกมาในแนวตลกร้าย แต่ในใจผมตอนดูกลับรู้สึกเจือความหดหู่ไว้ในใจตลอดทุกการกระทำของตัวละครเลยครับ อาจเพราะเราเข้าใจเรื่องของวิกฤตวัยกลางคน วัยที่ไม่ได้มีตัวเลือกอะไรมากนัก หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างขึ้นมาในชีวิต โดยเฉพาะเมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นมันมีผลต่อครอบครัวที่เรารัก หนังเล่าเรื่องราวของคนที่ "จนตรอก" ที่ต้องการโอกาสคนนึงได้อย่างน่าสนใจ การต่อสู้และหาหนทางชีวิตแบบ "หมาจนตรอก" นี่มันเข้มข้นนัก คนเราจะทำอะไรก็ได้เพื่อครอบครัว รุนแรง โหดร้ายบ้าบออะไรก็ได้ ยิ่งเมื่อต้องสู้ในสังคมทุนนิยมที่ไม่มีความเป็นธรรม และกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคที่ใช้เทคโนโลยีนำพาการทำงานและชีวิต
สิ่งที่ชอบหลังจากดูหนังแล้วก็คือ การแสดงของ Lee Byung Hun นั้น ทำได้ดีมาก ๆ มาก ๆ แบบมาก ๆ จริง ๆ ครับ แต่นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ก็เล่นดีกันทุกคนแหละครับ Son Ye Jin ก็ดี แต่ส่วนตัวให้ Lee Sung Min ในบทของ Goo Beom Mo คนที่ Yoo Man Su จะต้องจัดการ ก็เป็นอีกคนที่เด่นครับ อีกอย่างที่ชอบ คือ มันจะมีมุมกล้องบาง Shot ที่แบบว้าวดี และที่สำคัญที่สุดก็คือ สารที่หนังต้องการนำเสนอนั่นแหละครับ อ้อ! ตอนจบก็เป็นอะไรที่จัดท่าได้พลิกแพลงแบบน่าทึ่งดีครับ อีกอย่าง.. หนังเรื่องนี้มีสัญญะที่น่าสนใจให้ตีความกันอีกแล้ว ใครไปดูมาแล้ว ลองมาแลกเปลี่ยนมุมมองกันนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ท่านคิดว่าทำไม Yoo Man Su ถึงต้องชอบเลี้ยงและดัดบอนไซ เป็นการส่งสัญญะอะไรหรือไม่ และฉากแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาที่หน้าเขาในหลายฉาก แล้วเขาหลบ ท่านว่าจะตีความได้อย่างไร
ส่วนที่ไม่ชอบก็คือ อืม! จะบอกไม่ชอบก็ไม่ได้เสียทีเดียวครับ คือ อย่างที่บอกว่าเป็นหนังตลกร้าย บทแฝงมุกตลก ก็เป็นอะไรที่ตลกนะครับ แต่ผมขำไม่เต็มที่ คือ ความรู้สึกของเรื่องราวในหนังมันทำให้ผมหดหู่ในชะตากรรมของคนนะครับ.. รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
สรุป ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ ถ้าพูดถึงความสนุก ก็คงจะมีมุมมองที่หลากหลายนะครับ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องสารที่ต้องการนำเสนอ คือ ดีมาก ๆ ครับ เป็นอะไรที่เข้ากับยุคสมัย โดยรวมเป็นหนังที่ดีมาก เหมาะกับการส่งเข้าออสการ์ครับ นักแสดงนำเล่นดีมาก (ถ้าเปรียบเทียบหนังที่ส่งเข้าประกวดออสการ์ในปีสองปีนี้ของ Lee Byung Hun ส่วนตัวว่าหนังเรื่องนี้มีสารและการนำเสนอที่ดีกว่า Concrete Utopia (2023) แต่ผมว่า Concrete Utopia สนุกก็ว่า) ส่วนใครที่รักหนัง ชอบดูหนังดี ๆ ห้ามพลาดครับ
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ
No Other Choice งานนี้..ฆ่าเอา.. ใครไปดูมาแล้วบ้าง ชอบ ไม่ชอบ อย่างไรกันบ้างครับ
"เพราะเป็นคนชั้นกลางที่เป็นหัวหน้าครอบครัว จึงต้องเจ็บปวด" ท่านเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่.. บางที No Other Choice งานนี้..ฆ่าเอา.. อาจจะเป็นหนังที่ตีแผ่ให้เห็นภาพของคำกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
หนังเรื่องนี้จะเป็นตัวแทนประเทศเกาหลีใต้ เข้าประกวดในสาขาภาพยนต์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ในเวทีออสการ์ครั้งที่จะถึงในปีหน้านี้ รวมทั้งยังได้รับการ Standing Ovation นานถึง 9 นาที ในเทศกาลหนังเมืองเวนิส และคว้ารางวัลขวัญใจผู้ชม จากเทศกาลหนังโตรอนโตอีกด้วย เป็นผลงานของ ผกก. Park Chan Wook วัย 62 ปี ที่มีผลงานโดดเด่นมาตั้งแต่ยุคต้นปี 2000's อย่างเช่น Oldboy (2003) ฯลฯ ร่วมด้วยนักแสดงแถวหน้าของเกาหลีอย่าง Lee Byung Hun และ Son Ye Jin หนังเรื่องนี้ได้สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากนวนิยายของนักเขียนชาวอเมริกัน Donald Westlake ที่มีชื่อเรื่องว่า The Axe ซึ่งถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1997
หนังพูดถึงเรื่องราวของ Yoo Man Su พนักงานดีเด่นของโรงงานผลิตกระดาษชั้นนำ ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้มายาวนานกว่า 25 ปี และชีวิตของเขาที่ประกอบไปด้วยภรรยา Lee Mi Ri ลูกชายที่เป็นลูกติดภรรยา และลูกสาวตัวน้อยอีกหนึ่งคน พร้อมเจ้าหมาแสนน่ารักอีก 2 ตัว ก็นับว่ามีความมั่นคง เป็นครอบครัวที่พูดได้ว่าสมบูรณ์แบบครอบครัวหนึ่ง อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากกินอะไรก็ได้กิน และตัวเขาเองก็มีงานอดิเรกอย่างการเลี้ยงต้นบอนไซ และเพาะต้นไม้ต่าง ๆ ในเรือนกระจกที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ
หากแต่วันหนึ่ง Yoo Man Su ได้ถูกเลิกจ้างอย่างกระทันหัน ทุกอย่างจึงพลิกผันเปลี่ยนไปจากเดิม จากกำหนด 3 เดือนที่เขาตั้งเป้าหมายว่าจะต้องหางานใหม่ให้ได้ กลับไม่ได้ การเข้าสัมภาษณ์งานแต่ละครั้งไม่ประสบความสำเร็จ และชีวิตของครอบครัวที่เคยสมบูรณ์แบบกลับต้องเปลี่ยนแปลงไป Lee Mi Ri ภรรยาของเขาต้องออกไปรับจ้างทำงาน และเลิกเล่นเทนนิสกีฬาที่ชื่นชอบ ลูกชายต้องยกเลิกสมาชิก Netflix ลูกสาวต้องเลิกเรียนดนตรีที่ตัวเองมีพรสวรรค์ไปอย่างน่าเสียดาย หมา 2 ตัวก็ต้องส่งไปเลี้ยงที่อื่น ตัว Yoo Man Su ก็ต้องเอารถคันที่ใช้ไปแลกเป็นรุ่นที่เก่าขึ้นและเล็กลง และที่สำคัญที่สุด พวกเขากำลังจะต้องเสียบ้าน สถานที่ ๆ เต็มไปด้วยอดีตที่มีความหมาย สถานที่ ๆ บอกถึงสถานะความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา Yoo Man Su และครอบครัวจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อรักษา "บ้าน" และ "ครอบครัว" อันเป็นที่รักของเขาไว้ให้ได้
ตัวหนังออกมาในแนวตลกร้าย แต่ในใจผมตอนดูกลับรู้สึกเจือความหดหู่ไว้ในใจตลอดทุกการกระทำของตัวละครเลยครับ อาจเพราะเราเข้าใจเรื่องของวิกฤตวัยกลางคน วัยที่ไม่ได้มีตัวเลือกอะไรมากนัก หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างขึ้นมาในชีวิต โดยเฉพาะเมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นมันมีผลต่อครอบครัวที่เรารัก หนังเล่าเรื่องราวของคนที่ "จนตรอก" ที่ต้องการโอกาสคนนึงได้อย่างน่าสนใจ การต่อสู้และหาหนทางชีวิตแบบ "หมาจนตรอก" นี่มันเข้มข้นนัก คนเราจะทำอะไรก็ได้เพื่อครอบครัว รุนแรง โหดร้ายบ้าบออะไรก็ได้ ยิ่งเมื่อต้องสู้ในสังคมทุนนิยมที่ไม่มีความเป็นธรรม และกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคที่ใช้เทคโนโลยีนำพาการทำงานและชีวิต
สิ่งที่ชอบหลังจากดูหนังแล้วก็คือ การแสดงของ Lee Byung Hun นั้น ทำได้ดีมาก ๆ มาก ๆ แบบมาก ๆ จริง ๆ ครับ แต่นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ก็เล่นดีกันทุกคนแหละครับ Son Ye Jin ก็ดี แต่ส่วนตัวให้ Lee Sung Min ในบทของ Goo Beom Mo คนที่ Yoo Man Su จะต้องจัดการ ก็เป็นอีกคนที่เด่นครับ อีกอย่างที่ชอบ คือ มันจะมีมุมกล้องบาง Shot ที่แบบว้าวดี และที่สำคัญที่สุดก็คือ สารที่หนังต้องการนำเสนอนั่นแหละครับ อ้อ! ตอนจบก็เป็นอะไรที่จัดท่าได้พลิกแพลงแบบน่าทึ่งดีครับ อีกอย่าง.. หนังเรื่องนี้มีสัญญะที่น่าสนใจให้ตีความกันอีกแล้ว ใครไปดูมาแล้ว ลองมาแลกเปลี่ยนมุมมองกันนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนที่ไม่ชอบก็คือ อืม! จะบอกไม่ชอบก็ไม่ได้เสียทีเดียวครับ คือ อย่างที่บอกว่าเป็นหนังตลกร้าย บทแฝงมุกตลก ก็เป็นอะไรที่ตลกนะครับ แต่ผมขำไม่เต็มที่ คือ ความรู้สึกของเรื่องราวในหนังมันทำให้ผมหดหู่ในชะตากรรมของคนนะครับ.. รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
สรุป ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ ถ้าพูดถึงความสนุก ก็คงจะมีมุมมองที่หลากหลายนะครับ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องสารที่ต้องการนำเสนอ คือ ดีมาก ๆ ครับ เป็นอะไรที่เข้ากับยุคสมัย โดยรวมเป็นหนังที่ดีมาก เหมาะกับการส่งเข้าออสการ์ครับ นักแสดงนำเล่นดีมาก (ถ้าเปรียบเทียบหนังที่ส่งเข้าประกวดออสการ์ในปีสองปีนี้ของ Lee Byung Hun ส่วนตัวว่าหนังเรื่องนี้มีสารและการนำเสนอที่ดีกว่า Concrete Utopia (2023) แต่ผมว่า Concrete Utopia สนุกก็ว่า) ส่วนใครที่รักหนัง ชอบดูหนังดี ๆ ห้ามพลาดครับ
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ