#รีวิวหนัง NO OTHER CHOICE
“ถ้าวันหนึ่ง
ทุกอย่างที่เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง กำลังจะหายไป…
เราจะอยู่รอดยังไง ในสังคมที่ไม่เหลือทางเลือก?”
.
1/ชื่อหนังแปลตรง ๆ ว่า “ไม่มีทางเลือก”
แต่สิ่งที่ No Other Choice พูดจริง ๆ คือเรื่องของ
คนที่พยายามดิ้น ในโลกที่เหลือทางเลือกให้น้อยลงทุกวัน
ผลงานใหม่ของ พัคชานวุค ที่เอาความ “ตลกร้าย” มาขุดความเจ็บของคนธรรมดาได้โคตรแสบ
.
2/ เรื่องของ ยู มันซู ชายวัยกลางคนที่ทำงานในโรงงานกระดาษมาทั้งชีวิต
วันหนึ่งเขาถูกเลิกจ้าง เพราะบริษัทเริ่มใช้ AI เข้ามาแทนแรงงานคน
25 ปี ที่ทุ่มเทให้โรงงาน จบลงด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า “You have no other choice.”
.
3/ จากวันนั้น เขาเริ่มหลุดจากทุกอย่างที่เคยมั่นคง
หางานไม่ได้ ถูกลดคุณค่า และเริ่มเชื่อว่า
“ในโลกนี้…คนดี คงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ดิ้น”
.
4/ ชอบเรื่องนี้มาก เพราะมันดูแล้วมันทั้ง ขำ และ เจ็บ ในเวลาเดียวกัน
ขำ เพราะหนังมันประชดชีวิตได้ปั่นสุด
เจ็บ เพราะมันตรงกับความจริงของคนยุคนี้เหลือเกิน
โดยเฉพาะคน เจน X กับ เจน Y ที่ถูกสอนให้เชื่อว่า
กลัวว่าวันหนึ่ง “งาน” ที่เป็นมากกว่าแค่รายได้ จะหายไป
กลัวว่าสิ่งที่เราสร้างมาตลอดชีวิต จะไม่มีค่าอีกต่อไป
.
5/ โรงงานกระดาษในเรื่อง ไม่ใช่แค่สถานที่ทำงาน
แต่มันคือสัญลักษณ์ของ คุณค่าที่ใช้แล้วทิ้ง
กระดาษเคยมีราคา เหมือนแรงงานที่เคยสำคัญ
แต่พอเทคโนโลยีเข้ามา ทุกอย่างก็ถูกทำให้ “บาง” ลงจนแทบมองไม่เห็น
.
6/ ทุกคืน เขาฝันเห็น “แมลง” ที่คืบคลานในห้อง
สิ่งนั้นไม่ใช่แค่ภาพสยอง แต่มันคือ ความกลัว
ที่ค่อย ๆ กัดกินหัวใจ กลัวว่าจะไร้ค่า
กลัวว่าตัวเองจะไม่เหลือที่ให้ยืนอีกต่อไป
.
7/ เมื่อชีวิตจนมุม มันซูตัดสินใจสุดโต่ง
วางแผนกำจัดคู่แข่งที่สมัครงานตำแหน่งเดียวกัน
จุดนี้เองที่ผู้กำกับพาเราเข้าสู่คำถามสุด absurd ว่า
“มนุษย์จะกลายเป็นอะไร เมื่อระบบบังคับให้ต้องเอาตัวรอด จนไม่เหลือพื้นที่ให้ความดี?”
.
8/ พัคชานวุค เล่าเรื่องด้วยภาษาหนังที่ทั้งสวยและเสียดสี
ภาพแมลง กระดาษ บอนไซ และเลือด คือสัญญะของชีวิตในโลกทุนนิยมที่บีบคนให้เล็กลง
หนังมันทั้งขำและขม พร้อมกัน เพราะ Park Chan-wook เล่าเรื่องโคตรเสียดสี
แต่ขณะเดียวกัน มันก็พูดแทนใจคนทำงานยุคนี้ได้หมดว่า
“เราไม่ได้กลัวเหนื่อย แต่กลัวไม่มีค่า”
.
9/ อี บยองฮอน เล่นบทนี้แบบทำให้คนดูพูดไม่ออก
เขาไม่ใช่ปีศาจ แต่คือมนุษย์ที่ถูกระบบมัดแน่นจนขยับไม่ได้ เหมือนบอนไซในกระถาง
ความอัดอั้นในสีหน้า กับศักดิ์ศรีที่ต้องกลืนลงคอ หนังไม่ได้บังคับให้เรารักตัวละครนี้
แต่มันทำให้เรา “เข้าใจ” เขา แต่ไม่เต็มใจเข้าใจด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะฉากปะทะกันของ อี บยองฮอน × อียองฮเยรัน × อีซองมิน
คือพลังการแสดงระดับพายุ ชนกันทีเดียว ขอบอกว่าซ่องแตกมาก 555555
.
10 / No Other Choice ไม่ใช่หนังสอนศีลธรรม
แต่มันคือหนังที่พูดถึง ความจริงของระบบ อย่างไม่อ้อมค้อม
มนุษย์ไม่ได้เลวเพราะชอบเลว
แต่เพราะโลกจริง มักไม่เปิดช่องให้ “เลือกดี” ได้ง่าย ๆ
.
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “เขาทำผิดไหม”
แต่คือ “เขาเคยมีทางเลือกอื่นจริงหรือเปล่า?”
.
“No Other Choice งานนี้..ฆ่าเอา”
30 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
[SR] #รีวิวหนัง NO OTHER CHOICE “ถ้าวันหนึ่ง ทุกอย่างที่เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง กำลังจะหายไป…
“ถ้าวันหนึ่ง
ทุกอย่างที่เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง กำลังจะหายไป…
เราจะอยู่รอดยังไง ในสังคมที่ไม่เหลือทางเลือก?”
.
1/ชื่อหนังแปลตรง ๆ ว่า “ไม่มีทางเลือก”
แต่สิ่งที่ No Other Choice พูดจริง ๆ คือเรื่องของ
คนที่พยายามดิ้น ในโลกที่เหลือทางเลือกให้น้อยลงทุกวัน
ผลงานใหม่ของ พัคชานวุค ที่เอาความ “ตลกร้าย” มาขุดความเจ็บของคนธรรมดาได้โคตรแสบ
.
2/ เรื่องของ ยู มันซู ชายวัยกลางคนที่ทำงานในโรงงานกระดาษมาทั้งชีวิต
วันหนึ่งเขาถูกเลิกจ้าง เพราะบริษัทเริ่มใช้ AI เข้ามาแทนแรงงานคน
25 ปี ที่ทุ่มเทให้โรงงาน จบลงด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า “You have no other choice.”
.
3/ จากวันนั้น เขาเริ่มหลุดจากทุกอย่างที่เคยมั่นคง
หางานไม่ได้ ถูกลดคุณค่า และเริ่มเชื่อว่า
“ในโลกนี้…คนดี คงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ดิ้น”
.
4/ ชอบเรื่องนี้มาก เพราะมันดูแล้วมันทั้ง ขำ และ เจ็บ ในเวลาเดียวกัน
ขำ เพราะหนังมันประชดชีวิตได้ปั่นสุด
เจ็บ เพราะมันตรงกับความจริงของคนยุคนี้เหลือเกิน
โดยเฉพาะคน เจน X กับ เจน Y ที่ถูกสอนให้เชื่อว่า
กลัวว่าวันหนึ่ง “งาน” ที่เป็นมากกว่าแค่รายได้ จะหายไป
กลัวว่าสิ่งที่เราสร้างมาตลอดชีวิต จะไม่มีค่าอีกต่อไป
.
5/ โรงงานกระดาษในเรื่อง ไม่ใช่แค่สถานที่ทำงาน
แต่มันคือสัญลักษณ์ของ คุณค่าที่ใช้แล้วทิ้ง
กระดาษเคยมีราคา เหมือนแรงงานที่เคยสำคัญ
แต่พอเทคโนโลยีเข้ามา ทุกอย่างก็ถูกทำให้ “บาง” ลงจนแทบมองไม่เห็น
.
6/ ทุกคืน เขาฝันเห็น “แมลง” ที่คืบคลานในห้อง
สิ่งนั้นไม่ใช่แค่ภาพสยอง แต่มันคือ ความกลัว
ที่ค่อย ๆ กัดกินหัวใจ กลัวว่าจะไร้ค่า
กลัวว่าตัวเองจะไม่เหลือที่ให้ยืนอีกต่อไป
.
7/ เมื่อชีวิตจนมุม มันซูตัดสินใจสุดโต่ง
วางแผนกำจัดคู่แข่งที่สมัครงานตำแหน่งเดียวกัน
จุดนี้เองที่ผู้กำกับพาเราเข้าสู่คำถามสุด absurd ว่า
“มนุษย์จะกลายเป็นอะไร เมื่อระบบบังคับให้ต้องเอาตัวรอด จนไม่เหลือพื้นที่ให้ความดี?”
.
8/ พัคชานวุค เล่าเรื่องด้วยภาษาหนังที่ทั้งสวยและเสียดสี
ภาพแมลง กระดาษ บอนไซ และเลือด คือสัญญะของชีวิตในโลกทุนนิยมที่บีบคนให้เล็กลง
หนังมันทั้งขำและขม พร้อมกัน เพราะ Park Chan-wook เล่าเรื่องโคตรเสียดสี
แต่ขณะเดียวกัน มันก็พูดแทนใจคนทำงานยุคนี้ได้หมดว่า
“เราไม่ได้กลัวเหนื่อย แต่กลัวไม่มีค่า”
.
9/ อี บยองฮอน เล่นบทนี้แบบทำให้คนดูพูดไม่ออก
เขาไม่ใช่ปีศาจ แต่คือมนุษย์ที่ถูกระบบมัดแน่นจนขยับไม่ได้ เหมือนบอนไซในกระถาง
ความอัดอั้นในสีหน้า กับศักดิ์ศรีที่ต้องกลืนลงคอ หนังไม่ได้บังคับให้เรารักตัวละครนี้
แต่มันทำให้เรา “เข้าใจ” เขา แต่ไม่เต็มใจเข้าใจด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะฉากปะทะกันของ อี บยองฮอน × อียองฮเยรัน × อีซองมิน
คือพลังการแสดงระดับพายุ ชนกันทีเดียว ขอบอกว่าซ่องแตกมาก 555555
.
10 / No Other Choice ไม่ใช่หนังสอนศีลธรรม
แต่มันคือหนังที่พูดถึง ความจริงของระบบ อย่างไม่อ้อมค้อม
มนุษย์ไม่ได้เลวเพราะชอบเลว
แต่เพราะโลกจริง มักไม่เปิดช่องให้ “เลือกดี” ได้ง่าย ๆ
.
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “เขาทำผิดไหม”
แต่คือ “เขาเคยมีทางเลือกอื่นจริงหรือเปล่า?”
.
“No Other Choice งานนี้..ฆ่าเอา”
30 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้