-เมื่อวันลอยกระทงที่ผ่านมาผมได้ไปดู No other choice ที่ SF เซนทรัลมาแบบแทบจะเหมาโรงเพราะว่ารวมผมกับแฟนแล้วรอบนั้นมีคนดูแค่สี่คน เป็นส่วนตัวมาก555 ส่วนวันนี้เพิ่งนึกอยากมารีวิว และอยากพูดความประทับใจต่อผลงานเก่าๆของผู้กำกับคนนี้กันสักหน่อย
-หนังของปาร์คชานวุคมีอิทธิพลต่อสื่ออย่างอื่นเยอะมาก ไม่ว่ามังงะ อนิเมะ เกมส์ หรือแม้แต่ MV เพลง ที่จริงหนังแกบางเรื่องก็มาจากมังงะเก่าๆแล้วก็กลับไปเป็นแรงบันดาลใจให้มังงะใหม่ๆอีกที ผมดูหนังปาร์คชานวุคมาเกือบครบเลยชินกับสไตล์การเล่าแบบนี้ประมาณหนึ่ง ซึ่งผมมองว่าบางเรื่องถ้าคุณไม่ชอบก็อาจเกลียดไปเลย เหมือนเป็นยาขมแต่มันก็มีสรรพคุณอยู่เยอะ55 ถึงจะไม่ได้พีคหมดแต่ผมก็ให้แกเบอร์หนึ่งนะของผู้กำกับหนังเกาหลี
-ถ้าพูดถึงหนังแกคนส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงความรุนแรงกับความระทึกขวัญ เช่นไตรภาคล้างแค้น เล่าความโหดดิบเถื่อนกระแทกกระทั้นหัวใจคนดู เหมือนเอาหัวใจและความคาดหวังคนดูมากระทืบเล่น แต่สำหรับผมมองว่าแกเล่าโรแมนติกได้เก่งไม่แพ้ทริลเลอร์ มันเป็นความโรแมนติกแบบดาร์คๆแปลกๆ หนังของแกเรื่องที่ผมชอบสุดคือ I'm a Cyborg, But That's OK (ถึงจะบ้าก็บ้ารัก) ที่พี่เรนเป็นพระเอกซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นแรงบัลดาลใจให้MVเพลง OMG ของวง New Jeans ด้วย และอีกเรื่องไม่นานนี้อย่าง Decision to Leave ที่โคตรโรแมนติกแบบรสขม ผมชอบยิ่งกว่าหนังรักหวานๆซะอีก
-No other choice ได้ยินว่าเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยาย โดยมีเรื่องย่อคือ พระเอกชื่อ มันซู ชายวัยกลางคนที่ทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทผลิตกระดาษมา 25 ปี แต่ต้องถูกเลิกจ้างอย่างกะทันหัน ทำให้เขาต้องพยายามหางานใหม่เพื่อเลี้ยงครอบครัว แต่ตำแหน่งงานแบบเดิมมีจำกัด และเพราะไม่มีทางเลือกเขาจึงตัดสินใจสุดโต่งที่จะฆ่าคู่แข่งคนอื่น ๆ เพื่อให้ตัวเองเป็นตัวเลือกเดียว
-ความรู้สึกหลังดู ผมว่ามันตลกดีเพราะดูพากย์ไทยด้วย พากย์ฮาเกินตัวละครพูดแต่ที่จริงหนังมันตลกแบบนิ่งๆ เราจะฮาไปกับการกระทำสุดเปิ่นแสนทุลักทุเลของพระเอก ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้มันน่ากลัว เพราะสิ่งที่ตัวละครทำมันเลวร้ายมากแต่เรากับขำและเอาใจช่วยมันซะงั้น เราขำในสิ่งที่ไม่ควรขำเขาถึงเรียกว่าเป็นตลกร้าย แล้วตอนจบเรารู้สึกดีใจไปกับมันหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่หนังกลับมาถามพวกเราคนดู
-บทกับการแสดงในเรื่องนี้ถือว่าดีมาก ได้เห็นนักแสดงเบอร์ต้นๆมาปล่อยของกัน คือมันทั้งดูเป็นธรรมชาติและก็ดูเอนเตอร์เทน
-ตลอดเรื่องมันเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามให้เราคนดูแล้วค่อยๆ เปิดเผยความจริง และการกระทำของตัวละครในเรื่องหลายๆครั้งมันก็เกินความคาดหมายของเรา
-งานภาพสวยเนี๊ยบในทุกฉาก และใช้ภาพเล่าเรื่องใช้ภาพสื่อความหมายที่หนังไม่ได้พูด เช่นฉากบ้านแสนสุขในฤดูใบไม้ผลิตอนเริ่มเรื่องกับฉากบ้านในฤดูฝนตอนจบ แถมยังใช้ลูกเล่นเข้ามาตลอดเช่นแค่ฉากคนคุยโทรศัพท์กันยังใส่เทคนิคเข้ามาให้มันดูน่าสนใจ และฉากแบล็คกราวด์ก็วางมุมอย่างพิถีพิถัน แค่ฉากพระเอกวิ่งลงเขาก็ยังอุตส่าห์ถ่ายอย่างสวย
-ตามลายเซ็นของผู้กำกับคนนี้ในความดิบความเรียล แกก็ชอบใส่ความอาร์ทความเซอเรียลดูประหลาดเหนือจริงเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ฉากมดนั่งบนรถไฟฟ้าในOldBoy มาเรื่องนี้ก็มีฉากคล้ายๆแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ซึ่งมันแปลกดี
-หนังเรื่องนี้มีเหมือนจะเรียบง่ายธรรมดาแต่กลับแฝงด้วยนัยยะไว้เต็มไปหมด มีการอุปมาอุปไมย และทิ้งหลายๆอย่างไว้ให้คนดูคิดและตีความ ซึ่งมันมีรายละเอียดเยอะมาก
-สุดท้าย ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้ที่ 8.5/10 คือดีใช้ได้เลย แต่ยังชอบเรื่องก่อนหน้าอย่าง Decision to Leave มากกว่านิดหน่อย และผมว่ามันเดินเรื่องเอื่อยในบางช่วง ไม่ได้สนุกสนานหรือพีคเหมือน Parasite ของบองจุนโฮ แต่สำหรับบทสรุปของตัวละครผมว่ามันมีอะไรให้เราคิดและรู้สึกน่าขนลุก โดยหัวใจของเรื่องก็อยู่ตรงชื่อหนังนั่นแหละ "ไม่มีทางเลือก" แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆเหรอ มันยึดติดเกินไปหรือเปล่า?
No other choice (งานนี้..ฆ่าเอา) คือหนังที่เหมือนจะเรียบง่ายมีอะไรซ่อนอยู่เต็มไปหมด
-หนังของปาร์คชานวุคมีอิทธิพลต่อสื่ออย่างอื่นเยอะมาก ไม่ว่ามังงะ อนิเมะ เกมส์ หรือแม้แต่ MV เพลง ที่จริงหนังแกบางเรื่องก็มาจากมังงะเก่าๆแล้วก็กลับไปเป็นแรงบันดาลใจให้มังงะใหม่ๆอีกที ผมดูหนังปาร์คชานวุคมาเกือบครบเลยชินกับสไตล์การเล่าแบบนี้ประมาณหนึ่ง ซึ่งผมมองว่าบางเรื่องถ้าคุณไม่ชอบก็อาจเกลียดไปเลย เหมือนเป็นยาขมแต่มันก็มีสรรพคุณอยู่เยอะ55 ถึงจะไม่ได้พีคหมดแต่ผมก็ให้แกเบอร์หนึ่งนะของผู้กำกับหนังเกาหลี
-ถ้าพูดถึงหนังแกคนส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงความรุนแรงกับความระทึกขวัญ เช่นไตรภาคล้างแค้น เล่าความโหดดิบเถื่อนกระแทกกระทั้นหัวใจคนดู เหมือนเอาหัวใจและความคาดหวังคนดูมากระทืบเล่น แต่สำหรับผมมองว่าแกเล่าโรแมนติกได้เก่งไม่แพ้ทริลเลอร์ มันเป็นความโรแมนติกแบบดาร์คๆแปลกๆ หนังของแกเรื่องที่ผมชอบสุดคือ I'm a Cyborg, But That's OK (ถึงจะบ้าก็บ้ารัก) ที่พี่เรนเป็นพระเอกซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นแรงบัลดาลใจให้MVเพลง OMG ของวง New Jeans ด้วย และอีกเรื่องไม่นานนี้อย่าง Decision to Leave ที่โคตรโรแมนติกแบบรสขม ผมชอบยิ่งกว่าหนังรักหวานๆซะอีก
-No other choice ได้ยินว่าเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยาย โดยมีเรื่องย่อคือ พระเอกชื่อ มันซู ชายวัยกลางคนที่ทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทผลิตกระดาษมา 25 ปี แต่ต้องถูกเลิกจ้างอย่างกะทันหัน ทำให้เขาต้องพยายามหางานใหม่เพื่อเลี้ยงครอบครัว แต่ตำแหน่งงานแบบเดิมมีจำกัด และเพราะไม่มีทางเลือกเขาจึงตัดสินใจสุดโต่งที่จะฆ่าคู่แข่งคนอื่น ๆ เพื่อให้ตัวเองเป็นตัวเลือกเดียว
-ความรู้สึกหลังดู ผมว่ามันตลกดีเพราะดูพากย์ไทยด้วย พากย์ฮาเกินตัวละครพูดแต่ที่จริงหนังมันตลกแบบนิ่งๆ เราจะฮาไปกับการกระทำสุดเปิ่นแสนทุลักทุเลของพระเอก ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้มันน่ากลัว เพราะสิ่งที่ตัวละครทำมันเลวร้ายมากแต่เรากับขำและเอาใจช่วยมันซะงั้น เราขำในสิ่งที่ไม่ควรขำเขาถึงเรียกว่าเป็นตลกร้าย แล้วตอนจบเรารู้สึกดีใจไปกับมันหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่หนังกลับมาถามพวกเราคนดู
-บทกับการแสดงในเรื่องนี้ถือว่าดีมาก ได้เห็นนักแสดงเบอร์ต้นๆมาปล่อยของกัน คือมันทั้งดูเป็นธรรมชาติและก็ดูเอนเตอร์เทน
-ตลอดเรื่องมันเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามให้เราคนดูแล้วค่อยๆ เปิดเผยความจริง และการกระทำของตัวละครในเรื่องหลายๆครั้งมันก็เกินความคาดหมายของเรา
-งานภาพสวยเนี๊ยบในทุกฉาก และใช้ภาพเล่าเรื่องใช้ภาพสื่อความหมายที่หนังไม่ได้พูด เช่นฉากบ้านแสนสุขในฤดูใบไม้ผลิตอนเริ่มเรื่องกับฉากบ้านในฤดูฝนตอนจบ แถมยังใช้ลูกเล่นเข้ามาตลอดเช่นแค่ฉากคนคุยโทรศัพท์กันยังใส่เทคนิคเข้ามาให้มันดูน่าสนใจ และฉากแบล็คกราวด์ก็วางมุมอย่างพิถีพิถัน แค่ฉากพระเอกวิ่งลงเขาก็ยังอุตส่าห์ถ่ายอย่างสวย
-ตามลายเซ็นของผู้กำกับคนนี้ในความดิบความเรียล แกก็ชอบใส่ความอาร์ทความเซอเรียลดูประหลาดเหนือจริงเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ฉากมดนั่งบนรถไฟฟ้าในOldBoy มาเรื่องนี้ก็มีฉากคล้ายๆแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ซึ่งมันแปลกดี
-หนังเรื่องนี้มีเหมือนจะเรียบง่ายธรรมดาแต่กลับแฝงด้วยนัยยะไว้เต็มไปหมด มีการอุปมาอุปไมย และทิ้งหลายๆอย่างไว้ให้คนดูคิดและตีความ ซึ่งมันมีรายละเอียดเยอะมาก
-สุดท้าย ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้ที่ 8.5/10 คือดีใช้ได้เลย แต่ยังชอบเรื่องก่อนหน้าอย่าง Decision to Leave มากกว่านิดหน่อย และผมว่ามันเดินเรื่องเอื่อยในบางช่วง ไม่ได้สนุกสนานหรือพีคเหมือน Parasite ของบองจุนโฮ แต่สำหรับบทสรุปของตัวละครผมว่ามันมีอะไรให้เราคิดและรู้สึกน่าขนลุก โดยหัวใจของเรื่องก็อยู่ตรงชื่อหนังนั่นแหละ "ไม่มีทางเลือก" แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆเหรอ มันยึดติดเกินไปหรือเปล่า?