ศตวรรษที่ 17 ไม่มีประเทศไหนในยุโรปจะมีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจไปกว่า เนเธอร์แลนด์ ไม่ว่าจะถูกเรียกว่า ชาวดัตช์ หรือ ชาวฮอลันดา
บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่มาจากประเทศเล็กๆ ทางตอนเหนือของยุโรป ที่มีพื้นที่กว่าครึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลชื่อ เนเธอร์แลนด์ มีความหมายว่า แผ่นดินต่ำ
ชาวดัตช์เป็นคนขยันขันแข็ง เชี่ยวชาญการชลประทาน การเพาะปลูก มีหัวการค้า และกล้าได้กล้าเสีย จนสามารถออกเดินเรือค้าขายไปทั่วโลก
จุดศูนย์กลางของความเจริญทั้งหมดในช่วงนั้นอยู่ที่ กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองใหญ่สุดของเนเธอร์แลนด์
เมืองแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมของเหล่าพ่อค้าชาวดัตช์ผู้เดินเรือไปค้าขายรอบโลก ซึ่งเป็นคนกลางผูกขาดการค้าจากโลกตะวันออก
การเดินเรือเพียงหนึ่งรอบสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการเดินเรือนั้นถือว่าสูงมากเป็นเงาตามตัว เช่น พายุฝนกลางทะเล ถูกปล้นจากโจรสลัด หรือแม้แต่ถูกเรือคู่แข่งโจมตี อีกประเด็นคือ ต้นทุนการเดินเรือนั้นสูงมาก การหาทุนจึงเป็นไปด้วยความยากลําบาก พ่อค้าชาวดัตช์ในยุคนั้นแก้ปัญหานี้ด้วย “ตลาดหุ้น”
ตลาดหุ้นอัมสเตอร์ดัม จึงถูกก่อตั้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1602 ด้วยระบบตลาดหุ้น ทำให้บริษัท VOC กำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1602 เช่นกัน เพื่อระดมทุนทำการค้ากับโลกตะวันออกบริษัท VOC (Vereenigde Oostindische Compagnie) หรือที่เรารู้จักกัน
ในนามว่า บริษัทดัตช์ อีสต์ อินเดีย บริษัทนี้ทำการค้าโดยมีระบบการจัดการแบบบริษัทจำกัดในสมัยใหม่และเนื่องจากในยุคนั้นการติดต่อสื่อสารกับประเทศแม่นั้นใช้เวลานานและยากลำบาก รัฐบาลดัตช์จึงให้สิทธิในการตัดสินใจดำเนินการต่างๆ แก่ VOC เองโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากประเทศแม่ก่อน
VOC ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้สามารถมีกองกำลังเป็นของตนเอง มีอำนาจในการโจมตี ประกาศสงคราม ตัดสินคดีความได้ ทั้งนี้เพื่อความสะดวก
ในการดำเนินกิจการของบริษัท บริษัทไม่ลังเลที่จะทำการโจมตีเรือ หรือสถานีการค้าของบริษัทคู่แข่ง แทรกแซงการเมือง หรือบังคับทำสัญญาที่เอาเปรียบกับประเทศคู่ค้าหรือแม้แต่ลงมือสังหารชาวพื้นเมืองที่ต่อต้านบริษัท หากสิ่งนั้นสามารถสร้าง
ผลประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นได้
ในช่วงจุดสูงสุดของ VOC นั้น นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าหากคำนวณด้วยค่าเงินปัจจุบันแล้ว บริษัทจะมีมูลค่าราว 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ
ราว 210 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าทุกบริษัทที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์มนุษย์แม้กระทั่งปัจจุบัน
เมื่อเงินทุนไหลมาไม่ขาดสาย การเดินเรือก็ยิ่งไกลออกไปมากยิ่งขึ้น ชาวดัตช์เดินเรือไปยังดินแดนต่างๆ รอบโลก จนเป็นผู้ค้นพบทวีปออสเตรเลีย
ในทวีปอเมริกา ชาวดัตช์ได้ตั้งสถานีการค้าขึ้นที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองนี้มีชื่อว่า “นิวอัมสเตอร์ดัม"
ซึ่งคงไม่มีใครในตอนนั้นคิดว่า ต่อมาเมืองนี้จะกลายเป็นจุดศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกแห่งใหม่ในชื่อว่า นิวยอร์ก..
ในทวีปเอเชีย สถานีการค้าของดัตช์ตั้งอยู่ที่เมืองโคชิน ทางตะวันตกของอินเดีย เกาะซีลอน หรือศรีลังกา ปัตตาเวียบนเกาะชวา ที่ตอนนี้เรารู้จักในชื่อ จาการ์ตา รวมถึงเดินทางมาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา สถาปนาทางการทูตในรัชสมัย
สมเด็จพระเอกาทศรถ
ชาวดัตช์เดินทางขึ้นเหนือไปถึงประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1600 ญี่ปุ่นอยู่ภายใต้การปกครองของโชกุนอิเอยาสุ โทกุงาวะ ผู้ปกครองญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด ความเกรงกลัวอิทธิพลในการเผยแผ่ศาสนา
คริสต์ ทำให้โชกุนประกาศนโยบายแยกตัวโดดเดี่ยว ในปี ค.ศ. 1633 แยกโดดเดี่ยวโดยการสั่งเนรเทศพ่อค้าชาวตะวันตกเกือบทั้งหมดออกจากญี่ปุ่น และสั่งห้ามชาวญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศ นโยบายนี้จะดำเนินเป็นระยะเวลายาวนานถึง 200 ปี..
ยกเว้นแต่เพียงพ่อค้าชาวดัตช์ ที่ได้รับอนุญาตให้ค้าขายได้เฉพาะเมืองท่านางาซากิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้เท่านั้นไม่ไกลจากญี่ปุ่น
ชาวดัตช์ได้ตั้งเมืองท่าค้าขายกับราชสำนักจีน ที่เกาะฟอร์โมซา หรือเกาะไต้หวันในปัจจุบัน โดยมีสินค้าสำคัญ คือ เครื่องลายครามหรือพอร์ซเลน
พอร์ซเลนของจีนขึ้นชื่อในเรื่องความงามและนำความมั่งคั่งมาสู่ราชสำนักจีน แต่การปกครองของกษัตริย์ราชวงศ์หมิงที่อ่อนแอ และไม่สามารถแก้ไข
ปัญหาความอดอยากของประชาชนจากภัยแล้งได้ นำมาสู่การก่อกบฏของชาวนาในปี ค.ศ. 1644
ประจวบเหมาะกับการรุกรานของชนเผ่าแมนจูทางตอนเหนือ แล้วราชวงศ์หมิงที่ปกครองจักรวรรดิจีนมานานเกือบ 300 ปีก็ถึงกาลล่มสลาย ชาวแมนจูสถาปนาราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1644
นอกจากพอร์ซเลนแล้ว ชาวดัตช์ยังเป็นผู้นำเข้าสินค้าแปลกใหม่อีกหลายชนิด และสร้างความ
เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในยุโรปทั้งใบชาจากจีน กาแฟจากอาหรับ และดอกไม้ชนิดหนึ่งจากจักรวรรดิออตโตมัน ที่ถูกเรียกว่า“ดอกทิวลิป”ดอกไม้สีสันสดใส รูปร่างไม่เหมือนดอกไม้ชนิดอื่น สร้างความหลงใหลให้กับนักสะสมผู้มั่งคั่ง
ยิ่งมีลักษณะที่เป็นลวดลายบนดอกไม้ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสของดอกทิวลิปก็ยิ่งทำให้ทิวลิปดอกนั้นมีราคาสูงเมื่อความงามของดอกทิวลิปไปสะดุดตานักลงทุน ผู้คาดหวังว่า ราคาจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ในปี ค.ศ. 1636 นักลงทุนบางคนถึงกับนำที่ดินพื้นที่ 49,000 ตารางเมตร มาแลกกับหัวทิวลิปแตกสีเพียง 1-2 หัว ความคลั่งทิวลิปมีสูงมากจนมีเรื่องเล่าว่า มีกะลาสีเรือเผลอหยิบหัวทิวลิปกินเข้าไป เพราะนึกว่าเป็นหัวหอม ถึงกับถูกจำคุก เนื่องจากหัวทิวลิปนั้นมีค่าเท่ากับค่าแรงงานของกะลาสีของเรือทั้งลำเป็นเวลาหนึ่งปี
เมื่อเบ่งบานจนถึงขีดสุด ดอกทิวลิปก็ถึงเวลาร่วงโรยไม่มีใครยอมซื้อในราคาที่สูงขึ้นอีกแล้ว
ราคาหัวทิวลิปได้ตกลงอย่างรวดเร็วและแทบจะหมดค่าไปในระยะเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากนั้น
เศรษฐีหลายคนต้องล้มละลายจากการลงทุนในดอกทิวลิป
นับเป็นบทเรียนฟองสบู่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การลงทุนของมนุษย์ แต่สําหรับผู้ที่ลงทุนกับ VOC
บริษัทนี้ยังคงทำกำไรให้แก่นักลงทุนได้อย่างงดงาม มีการศึกษาว่า VOC สามารถจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นโดยเฉลี่ยปีละ 18% ต่อเนื่องเกือบ 200 ปีที่ดำเนินกิจการ..
ยิ่งเมื่อเกิดสงคราม 30 ปี ซึ่งเป็นสงครามศาสนา ระหว่างชาวคาทอลิกกับชาวโปรเตสแตนต์ สงครามสงบลงได้ด้วยสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย ซึ่งให้อิสระแก่ชาวโปรเตสแตนต์ ในการนับถือศาสนา และยอมรับในความเป็นเอกราชของเนเธอร์แลนด์จากสเปน ในปี ค.ศ. 1648
ยิ่งทําให้ VOC แผ่ขยายแสนยานุภาพ กลายเป็นบริษัทที่ผูกขาดการค้าของโลก แต่ความรุ่งเรืองของเนเธอร์แลนด์ ก็สร้างความไม่พอใจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน 2 ประเทศ นั่นก็คือ อังกฤษและฝรั่งเศส
อังกฤษซึ่งพัฒนากองทัพเรือจนเข้มแข็งได้ออกกฎหมายทางทะเล (Navigation Acts) ในปี ค.ศ. 1651 ว่าด้วยสินค้าที่จะนําเข้ามาขายในอังกฤษ ต้องบรรทุกด้วยเรือของอังกฤษ หรือ เรือของประเทศที่ผลิตสินค้าเท่านั้น
กฎหมายนี้สร้างความสูญเสียให้แก่พ่อค้าชาวดัตช์
จนนํามาสู่สงครามระหว่างเนเธอร์แลนด์กับอังกฤษที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1652
ส่วนฝรั่งเศสซึ่งเป็นรัฐคาทอลิก ได้ขยายอาณาเขตจนสามารถยึดครองเบลเยียม เกิดเป็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับเนเธอร์แลนด์ จนขยายเป็นสงครามในปีค.ศ. 1672
เมื่อต้องเผชิญศึกทั้งสองด้าน
ผลของสงครามคือความพ่ายแพ้
ช่วงเวลายุคทองของเนเธอร์แลนด์จึงค่อยๆ เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เปิดโอกาสให้ 2 ประเทศคู่อริก้าวขึ้นมาเป็นมหาอํานาจ ชาวอังกฤษจะออกเดินทาง และขยายอํานาจของบริษัทบริติช อีสต์ อินเดียไปทั่วโลก ยึดอาณานิคมต่างๆ ของชาวดัตช์เมือง “นิวอัมสเตอร์ดัม” ในทวีปอเมริกาจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “นิวยอร์ก” ส่วนชาวฝรั่งเศสจะตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกา กองทัพบกของฝรั่งเศสจะยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปผลักดันให้วัฒนธรรมและภาษาฝรั่งเศสกลายเป็นภาษาทางการทูตระหว่างประเทศ ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่เปรียบตัวเองเป็นเทพเจ้าแห่ง ดวงอาทิตย์ ผู้สร้างพระราชวังที่ใหญ่โตสุดเท่าที่โลกเคยเห็นมา
“พระเจ้าหลุยส์ที่ 14”..
ตอนที่ 7 ฟองสบู่ของมนุษยชาติ ค.ศ.1600-1699
บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่มาจากประเทศเล็กๆ ทางตอนเหนือของยุโรป ที่มีพื้นที่กว่าครึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลชื่อ เนเธอร์แลนด์ มีความหมายว่า แผ่นดินต่ำ
ชาวดัตช์เป็นคนขยันขันแข็ง เชี่ยวชาญการชลประทาน การเพาะปลูก มีหัวการค้า และกล้าได้กล้าเสีย จนสามารถออกเดินเรือค้าขายไปทั่วโลก
จุดศูนย์กลางของความเจริญทั้งหมดในช่วงนั้นอยู่ที่ กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองใหญ่สุดของเนเธอร์แลนด์
เมืองแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมของเหล่าพ่อค้าชาวดัตช์ผู้เดินเรือไปค้าขายรอบโลก ซึ่งเป็นคนกลางผูกขาดการค้าจากโลกตะวันออก
การเดินเรือเพียงหนึ่งรอบสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการเดินเรือนั้นถือว่าสูงมากเป็นเงาตามตัว เช่น พายุฝนกลางทะเล ถูกปล้นจากโจรสลัด หรือแม้แต่ถูกเรือคู่แข่งโจมตี อีกประเด็นคือ ต้นทุนการเดินเรือนั้นสูงมาก การหาทุนจึงเป็นไปด้วยความยากลําบาก พ่อค้าชาวดัตช์ในยุคนั้นแก้ปัญหานี้ด้วย “ตลาดหุ้น”
ตลาดหุ้นอัมสเตอร์ดัม จึงถูกก่อตั้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1602 ด้วยระบบตลาดหุ้น ทำให้บริษัท VOC กำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1602 เช่นกัน เพื่อระดมทุนทำการค้ากับโลกตะวันออกบริษัท VOC (Vereenigde Oostindische Compagnie) หรือที่เรารู้จักกัน
ในนามว่า บริษัทดัตช์ อีสต์ อินเดีย บริษัทนี้ทำการค้าโดยมีระบบการจัดการแบบบริษัทจำกัดในสมัยใหม่และเนื่องจากในยุคนั้นการติดต่อสื่อสารกับประเทศแม่นั้นใช้เวลานานและยากลำบาก รัฐบาลดัตช์จึงให้สิทธิในการตัดสินใจดำเนินการต่างๆ แก่ VOC เองโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากประเทศแม่ก่อน
VOC ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้สามารถมีกองกำลังเป็นของตนเอง มีอำนาจในการโจมตี ประกาศสงคราม ตัดสินคดีความได้ ทั้งนี้เพื่อความสะดวก
ในการดำเนินกิจการของบริษัท บริษัทไม่ลังเลที่จะทำการโจมตีเรือ หรือสถานีการค้าของบริษัทคู่แข่ง แทรกแซงการเมือง หรือบังคับทำสัญญาที่เอาเปรียบกับประเทศคู่ค้าหรือแม้แต่ลงมือสังหารชาวพื้นเมืองที่ต่อต้านบริษัท หากสิ่งนั้นสามารถสร้าง
ผลประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นได้
ในช่วงจุดสูงสุดของ VOC นั้น นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าหากคำนวณด้วยค่าเงินปัจจุบันแล้ว บริษัทจะมีมูลค่าราว 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ
ราว 210 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าทุกบริษัทที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์มนุษย์แม้กระทั่งปัจจุบัน
เมื่อเงินทุนไหลมาไม่ขาดสาย การเดินเรือก็ยิ่งไกลออกไปมากยิ่งขึ้น ชาวดัตช์เดินเรือไปยังดินแดนต่างๆ รอบโลก จนเป็นผู้ค้นพบทวีปออสเตรเลีย
ในทวีปอเมริกา ชาวดัตช์ได้ตั้งสถานีการค้าขึ้นที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองนี้มีชื่อว่า “นิวอัมสเตอร์ดัม"
ซึ่งคงไม่มีใครในตอนนั้นคิดว่า ต่อมาเมืองนี้จะกลายเป็นจุดศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกแห่งใหม่ในชื่อว่า นิวยอร์ก..
ในทวีปเอเชีย สถานีการค้าของดัตช์ตั้งอยู่ที่เมืองโคชิน ทางตะวันตกของอินเดีย เกาะซีลอน หรือศรีลังกา ปัตตาเวียบนเกาะชวา ที่ตอนนี้เรารู้จักในชื่อ จาการ์ตา รวมถึงเดินทางมาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา สถาปนาทางการทูตในรัชสมัย
สมเด็จพระเอกาทศรถ
ชาวดัตช์เดินทางขึ้นเหนือไปถึงประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1600 ญี่ปุ่นอยู่ภายใต้การปกครองของโชกุนอิเอยาสุ โทกุงาวะ ผู้ปกครองญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด ความเกรงกลัวอิทธิพลในการเผยแผ่ศาสนา
คริสต์ ทำให้โชกุนประกาศนโยบายแยกตัวโดดเดี่ยว ในปี ค.ศ. 1633 แยกโดดเดี่ยวโดยการสั่งเนรเทศพ่อค้าชาวตะวันตกเกือบทั้งหมดออกจากญี่ปุ่น และสั่งห้ามชาวญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศ นโยบายนี้จะดำเนินเป็นระยะเวลายาวนานถึง 200 ปี..
ยกเว้นแต่เพียงพ่อค้าชาวดัตช์ ที่ได้รับอนุญาตให้ค้าขายได้เฉพาะเมืองท่านางาซากิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้เท่านั้นไม่ไกลจากญี่ปุ่น
ชาวดัตช์ได้ตั้งเมืองท่าค้าขายกับราชสำนักจีน ที่เกาะฟอร์โมซา หรือเกาะไต้หวันในปัจจุบัน โดยมีสินค้าสำคัญ คือ เครื่องลายครามหรือพอร์ซเลน
พอร์ซเลนของจีนขึ้นชื่อในเรื่องความงามและนำความมั่งคั่งมาสู่ราชสำนักจีน แต่การปกครองของกษัตริย์ราชวงศ์หมิงที่อ่อนแอ และไม่สามารถแก้ไข
ปัญหาความอดอยากของประชาชนจากภัยแล้งได้ นำมาสู่การก่อกบฏของชาวนาในปี ค.ศ. 1644
ประจวบเหมาะกับการรุกรานของชนเผ่าแมนจูทางตอนเหนือ แล้วราชวงศ์หมิงที่ปกครองจักรวรรดิจีนมานานเกือบ 300 ปีก็ถึงกาลล่มสลาย ชาวแมนจูสถาปนาราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1644
นอกจากพอร์ซเลนแล้ว ชาวดัตช์ยังเป็นผู้นำเข้าสินค้าแปลกใหม่อีกหลายชนิด และสร้างความ
เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในยุโรปทั้งใบชาจากจีน กาแฟจากอาหรับ และดอกไม้ชนิดหนึ่งจากจักรวรรดิออตโตมัน ที่ถูกเรียกว่า“ดอกทิวลิป”ดอกไม้สีสันสดใส รูปร่างไม่เหมือนดอกไม้ชนิดอื่น สร้างความหลงใหลให้กับนักสะสมผู้มั่งคั่ง
ยิ่งมีลักษณะที่เป็นลวดลายบนดอกไม้ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสของดอกทิวลิปก็ยิ่งทำให้ทิวลิปดอกนั้นมีราคาสูงเมื่อความงามของดอกทิวลิปไปสะดุดตานักลงทุน ผู้คาดหวังว่า ราคาจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ในปี ค.ศ. 1636 นักลงทุนบางคนถึงกับนำที่ดินพื้นที่ 49,000 ตารางเมตร มาแลกกับหัวทิวลิปแตกสีเพียง 1-2 หัว ความคลั่งทิวลิปมีสูงมากจนมีเรื่องเล่าว่า มีกะลาสีเรือเผลอหยิบหัวทิวลิปกินเข้าไป เพราะนึกว่าเป็นหัวหอม ถึงกับถูกจำคุก เนื่องจากหัวทิวลิปนั้นมีค่าเท่ากับค่าแรงงานของกะลาสีของเรือทั้งลำเป็นเวลาหนึ่งปี
เมื่อเบ่งบานจนถึงขีดสุด ดอกทิวลิปก็ถึงเวลาร่วงโรยไม่มีใครยอมซื้อในราคาที่สูงขึ้นอีกแล้ว
ราคาหัวทิวลิปได้ตกลงอย่างรวดเร็วและแทบจะหมดค่าไปในระยะเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากนั้น
เศรษฐีหลายคนต้องล้มละลายจากการลงทุนในดอกทิวลิป
นับเป็นบทเรียนฟองสบู่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การลงทุนของมนุษย์ แต่สําหรับผู้ที่ลงทุนกับ VOC
บริษัทนี้ยังคงทำกำไรให้แก่นักลงทุนได้อย่างงดงาม มีการศึกษาว่า VOC สามารถจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นโดยเฉลี่ยปีละ 18% ต่อเนื่องเกือบ 200 ปีที่ดำเนินกิจการ..
ยิ่งเมื่อเกิดสงคราม 30 ปี ซึ่งเป็นสงครามศาสนา ระหว่างชาวคาทอลิกกับชาวโปรเตสแตนต์ สงครามสงบลงได้ด้วยสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย ซึ่งให้อิสระแก่ชาวโปรเตสแตนต์ ในการนับถือศาสนา และยอมรับในความเป็นเอกราชของเนเธอร์แลนด์จากสเปน ในปี ค.ศ. 1648
ยิ่งทําให้ VOC แผ่ขยายแสนยานุภาพ กลายเป็นบริษัทที่ผูกขาดการค้าของโลก แต่ความรุ่งเรืองของเนเธอร์แลนด์ ก็สร้างความไม่พอใจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน 2 ประเทศ นั่นก็คือ อังกฤษและฝรั่งเศส
อังกฤษซึ่งพัฒนากองทัพเรือจนเข้มแข็งได้ออกกฎหมายทางทะเล (Navigation Acts) ในปี ค.ศ. 1651 ว่าด้วยสินค้าที่จะนําเข้ามาขายในอังกฤษ ต้องบรรทุกด้วยเรือของอังกฤษ หรือ เรือของประเทศที่ผลิตสินค้าเท่านั้น
กฎหมายนี้สร้างความสูญเสียให้แก่พ่อค้าชาวดัตช์
จนนํามาสู่สงครามระหว่างเนเธอร์แลนด์กับอังกฤษที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1652
ส่วนฝรั่งเศสซึ่งเป็นรัฐคาทอลิก ได้ขยายอาณาเขตจนสามารถยึดครองเบลเยียม เกิดเป็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับเนเธอร์แลนด์ จนขยายเป็นสงครามในปีค.ศ. 1672
เมื่อต้องเผชิญศึกทั้งสองด้าน
ผลของสงครามคือความพ่ายแพ้
ช่วงเวลายุคทองของเนเธอร์แลนด์จึงค่อยๆ เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เปิดโอกาสให้ 2 ประเทศคู่อริก้าวขึ้นมาเป็นมหาอํานาจ ชาวอังกฤษจะออกเดินทาง และขยายอํานาจของบริษัทบริติช อีสต์ อินเดียไปทั่วโลก ยึดอาณานิคมต่างๆ ของชาวดัตช์เมือง “นิวอัมสเตอร์ดัม” ในทวีปอเมริกาจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “นิวยอร์ก” ส่วนชาวฝรั่งเศสจะตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกา กองทัพบกของฝรั่งเศสจะยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปผลักดันให้วัฒนธรรมและภาษาฝรั่งเศสกลายเป็นภาษาทางการทูตระหว่างประเทศ ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่เปรียบตัวเองเป็นเทพเจ้าแห่ง ดวงอาทิตย์ ผู้สร้างพระราชวังที่ใหญ่โตสุดเท่าที่โลกเคยเห็นมา
“พระเจ้าหลุยส์ที่ 14”..