ตอนที่ 6 เศรษฐกิจและศาสนา ค.ศ.1500-1599

ถ้าถามว่า ใครคือผู้ที่ทรงอำนาจมากที่สุดในยุโรป
ช่วงศตวรรษที่ 16

คำตอบไม่ใช่ “ประเทศ” แต่เป็น “ศาสนจักร”

นอกจากอำนาจที่อยู่เหนือจิตใจแล้ว ศาสนจักรยังเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วยุโรปและก็เช่นเดียวกับทุกเรื่องราวในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ อำนาจที่มีมากเกินไปถึงจุดหนึ่ง ก็จะย้อนกลับมาทำลายตัวเอง..

ในช่วงเวลานั้น สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวยุโรปตะวันตก คือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม และมีพระสันตะปาปาเป็น
ประมุขสูงสุด คริสตจักรคาทอลิกมีอำนาจในการจัดเก็บภาษีบำรุงศาสนาจากทุกคนที่อยู่ในคริสตจักร และมีสิทธิ์ในการได้รับมอบที่ดินจากผู้ไม่มีทายาท ทำให้ที่ดินในยุโรปถึง 1 ใน 5 ตกเป็นของคริสตจักร..

ความร่ำรวยและอำนาจอันล้นเหลือ ทำให้พระสันตะปาปาและบาทหลวงหลายรูปมีความเป็นอยู่ที่ร่ำรวย และใช้ความศรัทธาของประชาชนมาหารายได้เพื่อต่อเติมความหรูหราอย่างไม่สิ้นสุด

และเพื่อจะหาเงินมาสร้างมหาวิหารอันอลังการใจกลางกรุงโรม คริสตจักรได้ขายสิ่งที่เรียกว่า “ใบไถ่บาป” ให้แก่ศาสนิกชนเพียงแค่ซื้อ ใบไถ่บาป ความผิดบาปที่เคยมีก็จะมลายหายไป

มาร์ติน ลูเธอร์ นักบวชชาวเยอรมัน ผู้ไม่พอใจกับการขายใบไถ่บาป จึงได้ประกาศจุดยืนต่อต้านคริสตจักรคาทอลิกในปี ค.ศ. 1517 ด้วย “ญัตติ 95 ข้อ”ประกาศไว้ที่ประตูโบสถ์วิตเตนเบิร์กใจความหลักๆ มีว่า ชาวคริสต์จะไถ่บาปได้ด้วยความศรัทธาเอง โดยไม่ต้องอาศัยการไถ่บาปโดยพระเข้ามาเกี่ยวข้อง ปฏิเสธคำสอนของคริสตจักรที่กรุงโรม และเน้นว่า คัมภีร์ไบเบิลคือความจริงเพียงหนึ่งเดียว
ด้วยผลพวงจากการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ ไม่นานนัก คำประกาศของลูเธอร์ก็แพร่หลายไปทั่วเยอรมันและยุโรปตอนเหนือ

บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้น ผู้รู้หนังสือ และชาวนาหลายคนต่างสนับสนุนแนวคิดของลูเธอร์นำมาสู่การปฏิรูปศาสนา จนเกิดเป็นศาสนาคริสต์นิกายใหม่ ที่ถูกเรียกว่า...นิกายลูเธอรัน

ในขณะที่บรรดาดินแดนตอนเหนือของยุโรป ทั้งเยอรมัน สวีเดน นอร์เวย์ และเนเธอร์แลนด์ ต่างยอมรับความคิดของนิกายลูเธอรัน ในอังกฤษเองก็มีการก่อตั้งนิกายใหม่ ซึ่งแยกมาจากคริสตจักรคาทอลิกเช่นเดียวกัน

เรื่องเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ พระองค์ต้องการให้พระสันตะปาปาที่กรุงโรมอนุญาตให้พระองค์หย่าร้างกับคู่หมั้นซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากสเปน เพื่อการอภิเษกสมรสใหม่ เพราะต้องการพระโอรส แต่พระสันตะปาปาทรงปฏิเสธ..

พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ไม่พอพระทัย จึงทรงประกาศตั้งนิกายใหม่ที่เรียกว่าคริสตจักรแห่งอังกฤษ หรือ แองกลิคัน ในปี ค.ศ. 1534 ไม่ขึ้นต่อศาสนจักรที่กรุงโรมอีกต่อไป
คริสตจักรแองกลิคันมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นในสมัยพระราชินีเอลิซาเบทที่ 1 ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทั้งศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรันและแองกลิคัน ถูกเรียกรวมกันว่า “นิกายโปรเตสแตนต์” ซึ่งแปลว่า ผู้ต่อต้านสเปนเป็นราชอาณาจักรคาทอลิกที่มีขนาดใหญ่ และมั่นคงที่สุดในเวลานั้น

สเปนร่ำรวยมหาศาลจากการยึดครองดินแดนในทวีปอเมริกา ยึดทองคำและแร่ธาตุต่างๆ ของชนพื้นเมือง เข้าสู่ประเทศตัวเอง

แต่ราชสำนักของสเปนกลับไม่ได้นำทองคำมาพัฒนาเศรษฐกิจเท่าไรนัก เพราะค่าใช้จ่ายหลักๆ คือใช้ในการก่อสงคราม โดยเฉพาะสงครามกับฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ผลของสงครามก็คือ หนี้อันมหาศาลที่ตกทอดมาถึงกษัตริย์สเปน คือ พระเจ้าฟิลิปเปที่ 2

วิธีเดียวที่จะหยุดยั้งหนี้มหาศาลได้ ก็คือ การขึ้นภาษี ผลจึงไปตกแก่ศูนย์กลางการค้าที่มั่งคั่งที่สุดในยุโรป ซึ่งก็คือ“ดินแดนแฟลนเดอร์ส”
ปัจจุบันแฟลนเดอร์ส คือเขตประเทศเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ แต่ในขณะนั้นยังเป็นดินแดนของสเปน บริเวณนี้มั่งคั่งจากการเป็นศูนย์กลางการค้า และการธนาคารของยุโรปตอนเหนือ โดยมีเมืองแอนต์เวิร์ป เป็นที่ตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลก แต่เมื่อเกิดการปฏิรูปศาสนา มีพ่อค้าและนายธนาคารจำนวนไม่น้อยได้เปลี่ยนมานับถือนิกายโปรเตสแตนต์ เหตุผลหนึ่งก็เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีบำรุงศาสนาให้พระสันตะปาปา

ผู้ปกครองของแฟลนเดอร์สซึ่งเป็นข้าหลวงจากสเปน จึงไม่พอใจ และจับกุมคนที่เปลี่ยนศาสนา
เหล่าพ่อค้าจึงหนีออกจากแอนต์เวิร์ป ไปยังเมืองของชาวดัตช์ ที่มีชื่อว่าอัมสเตอร์ดัม

ชาวดัตช์อาศัยอยู่บริเวณประเทศเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการค้า การเกษตร และการเดินเรือมานาน แม้จะอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน แต่ชาวดัตช์ใจกว้าง และยอมรับเสรีภาพในศาสนา

อัมสเตอร์ดัมจึงดึงดูดเหล่าพ่อค้าและนายธนาคาร รวมไปถึงช่างฝีมือจากแอนต์เวิร์ป เยอรมัน และชาวโปรเตสแตนต์ทั่วยุโรป

การประกาศขึ้นภาษีของสเปน ทำให้พ่อค้าชาวดัตช์มากมายพากันต่อต้านจนเกิดเป็นการจลาจลทำลายล้างผู้ปกครองซึ่งเป็นข้าหลวงจากสเปน
พระเจ้าฟิลิปเปที่ 2 จึงส่งกองทัพเรือสเปนมาทำสงครามกับชาวดัตช์ในปี ค.ศ. 1568

นับเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อเอกราชของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจะใช้เวลายาวนานถึง 80 ปี
และถูกเรียกว่า “สงคราม 80 ปี”

ชาวดัตช์ซึ่งอาศัยอยู่หนาแน่นบริเวณตอนเหนือของแฟลนเดอร์ส ได้รวมตัวจัดตั้งเป็น สาธารณรัฐดัตช์และรัฐทั้งเจ็ด (Republic of the Seven United Netherlands) ในปี ค.ศ. 1581 และได้รวมกันขับไล่สเปนให้พ้นจากอาณาเขต

แม้เนเธอร์แลนด์จะยังไม่ได้รับเอกราชจากสเปนอย่างเต็มตัว แต่กองทัพสเปนก็ไม่สามารถมารุกรานได้กองทัพสเปนทำได้แค่เพียงบุกมาทางดินแดนตอนใต้ของแฟลนเดอร์ส ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศเบลเยียม ที่บริเวณนี้ประชากรส่วนใหญ่เป็นคาทอลิกจึงยังคงตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนต่อไป

นอกจากเนเธอร์แลนด์แล้ว สเปนยังมีศัตรูอยู่อีกหนึ่งประเทศซึ่งก็คือ อังกฤษ การที่อังกฤษจัดตั้งนิกายแองกลิคัน และข่มเหงชาวคาทอลิก ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ราชสำนักสเปนอยู่แล้ว

อีกเหตุผลหนึ่ง คือเรื่องโจรสลัดอังกฤษที่คอยดักปล้นกองเรือของสเปน อังกฤษในเวลานั้น มีการเมืองที่มั่นคง ภายใต้การปกครองของพระราชินี
เอลิซาเบทที่ 1 ทรงปรับปรุงกองเรืออังกฤษให้เข้มแข็ง และแต่งตั้งให้กัปตันฟรานซิส เดรก อดีตโจรสลัดผู้เคยปล้นกองเรือสเปนนับครั้งไม่ถ้วนเป็น
ผู้บัญชาการทหารเรืออังกฤษ เมื่อรวมกับปัญหาความขัดแย้งทางศาสนา วันที่สเปนหมดความอดทนก็มาถึง..

ค.ศ. 1588 กองเรืออาร์มาดาของสเปน ซึ่งเป็นกองทัพเรือที่ทรงอานุภาพมากที่สุดในยุโรป ก็ยกทัพกองเรือกว่า 150 ลำ บุกมาถึงเกาะอังกฤษ กองเรืออังกฤษได้ผูกมิตรกับกองเรือของเนเธอร์แลนด์ ระดมทั้งเรือรบและเรือสินค้าให้เข้าร่วมสงคราม
เรือของสเปนมีขนาดใหญ่ ต่างกับเรืออังกฤษที่มีขนาดเล็ก จึงมีความคล่องแคล่วกว่า บวกกับเรืออังกฤษมีอาวุธใหม่ คือ ปืนใหญ่ที่มีระยะยิง
ไกลกว่าเรือของสเปน

กองเรืออาร์มาดาซึ่งไม่เคยมีใครกล้าต่อกร ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้และปิดฉากความเป็นมหาอำนาจของสเปนในที่สุดพร้อมกับเปิดฉากการเดินทางสู่โลกใหม่ของอังกฤษและเนเธอร์แลนด์
แต่ด้วยความพร้อมในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการค้าและความเชี่ยวชาญด้านการเดินเรือ จะพาให้เนเธอร์แลนด์ เดินทางออกมาค้าขายกับโลกกว้าง และไปได้ไกลกว่าอังกฤษในเวลาเดียวกัน

ชาวดัตช์จะสร้างอาณานิคม ค้นพบทวีปใหม่ ก่อตั้งบริษัทการค้า และนำเข้าสินค้าแปลกใหม่จากทั่วโลกจนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในโลกตะวันตกและเป็นเหตุผลที่ว่า ชาติตะวันตกชาติที่ 2 ที่เข้ามาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา
ต่อจากโปรตุเกสก็คือ ชาวดัตช์หรือที่ชาวสยามรู้จักกันในนาม“ชาวฮอลันดา”..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่