เนเธอร์แลนด์ ประเทศที่มีพื้นที่เพียง 41,850 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่า ประเทศไทย 12 เท่า และเล็กเป็นอันดับที่ 131 ของโลก
แต่ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ กลับมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม มากเป็นอันดับ 2 ของโลกเกษตรกรชาวดัตช์ส่งออกดอกไม้มากที่สุดในโลก ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเป็นอันดับ 2 และส่งออกพืชผักเป็นอันดับ 3 ของโลก หากย้อนกลับไปเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ราวศตวรรษที่ 15 ดินแดนแห่งนี้ยังมีพื้นที่ กว่า 1 ใน 3 อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จนเป็นที่มาของคําว่าเนเธอร์แลนด์ ที่แปลว่า “แผ่นดินต่ำ”
อะไรที่ทำให้ชาวดัตช์ พลิกฟื้นแผ่นดินเล็ก ๆ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นําในวงการเกษตรกรรมของโลกรีวิวหนังสือ เริ่มต้นลงทุนหุ้นด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน
“กังหันลม” คือสัญลักษณ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตัวแทนของการ ต่อสู้กับธรรมชาติของชาวดัตช์มาตั้งแต่ยุคโบราณ
เนเธอร์แลนด์เป็นดินแดนเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปยุโรป ริมชายฝั่ง ทะเลเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีลมแรง และเกิดพายุบ่อยครั้งเพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก และขยายพื้นที่เพาะปลูก ชาวดัตช์จึงทำการปรับ พื้นที่ด้วยการสร้างเขื่อน ทางระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำจำนวนมาก โดย เขื่อนแห่งแรกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1320
ชาวดัตช์ยังได้พัฒนากังหันลมแบบต่าง ๆ เพื่อใช้งานตามที่ต้องการ โดยเฉพาะ กังหันลมเพื่อสูบน้ำออก ทำให้เกิดพื้นดินที่เกิดจากการถมทะเล เรียกว่า Polder ซึ่งใช้ในการเพาะปลูกและอยู่อาศัย
ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำไรน์ ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญของยุโรป เนเธอร์แลนด์ค่อย ๆ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นศูนย์กลางการค้า ดึงดูดพ่อค้าและ นายธนาคารให้มาตั้งรกราก โดยเฉพาะในกรุงอัมสเตอร์ดัมจนเมื่อเกิดการปฏิรูปศาสนาคริสต์ เหล่าพ่อค้าส่วนใหญ่เปลี่ยนมานับถือนิกาย โปรเตสแตนต์ เหตุผลหนึ่งเพราะไม่ต้องการจ่ายภาษีบํารุงให้ศาสนจักรคาทอลิก ในเวลานั้น เนเธอร์แลนด์ยังไม่ใช่ดินแดนเอกราช แต่ยังเป็นอาณานิคมของสเปนซึ่งเป็นอาณาจักรที่นับถือคาทอลิก
ด้วยความขัดแย้งทางศาสนาเป็นชนวนสำคัญ ชาวดัตช์จึงรวมตัวกันขับไล่สเปน โดยมีผู้นํา คือ วิลเลิมแห่งออเรนจ์ (William of Orange) ผู้ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่อง ให้เป็นบิดาของเนเธอร์แลนด์ จนในที่สุดก็สามารถก่อตั้งสาธารณรัฐดัตช์ได้สำเร็จ
ในเวลานั้นมีชาวเมืองไลเดิน (Leiden) เมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของกรุง อัมสเตอร์ดัม เป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสําคัญในการต่อสู้กับสเปน วิลเลิมแห่งออเรนจ์ จึงอยากมอบของขวัญให้กับชาวเมือง โดยให้เลือกระหว่าง “การลดภาษี” กับ“มหาวิทยาลัย”
แล้วชาวเมืองไลเดินก็เลือกมหาวิทยาลัย นับเป็นจุดเริ่มต้นของมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเนเธอร์แลนด์ คือ มหาวิทยาลัย ไลเดิน (Universiteit Leiden) ที่ถูกก่อตั้งในปี ค.ศ. 1575 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของสวนพฤกษศาสตร์แห่งไลเดิน (Hortus Botanicus Leiden)
ซึ่งเป็นสวนพฤกษศาสตร์สมัยใหม่แห่งแรกของโลก ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1590 โดย นักพฤกษศาสตร์ Carolus Clusius ซึ่งมีจุดประสงค์แรกเพื่อใช้เพาะปลูกพืช สมุนไพร และเริ่มมีการพัฒนาการปลูกพืชในเรือนกระจกเพื่อใช้ปลูกพืชเขตร้อนในปี ค.ศ. 1599
หลังจากขับไล่อิทธิพลของสเปนออกไปได้ ก็เปิดฉากยุคทองของเนเธอร์แลนด์ ในศตวรรษที่ 17พ่อค้าชาวดัตช์ก็เริ่มออกเดินเรือไปทำการค้าขายทั่วโลก รวมถึง “กรุงศรีอยุธยา” ที่รู้จักชาวดัตช์ภายใต้ชื่อ “ชาวฮอลันดา” โดยมีผู้นําคือบริษัทดัตช์ อีสต์ อินเดีย หรือ VOC ซึ่งเหล่าพ่อค้าของ VOC ก็ได้เก็บตัวอย่างพืชเขตร้อนกลับมาไว้ในเรือนกระจก ของสวนพฤกษศาสตร์ไลเดินด้วย
มหาวิทยาลัยไลเดินจึงนับเป็นสถาบันเพื่อการศึกษาทางพฤกษศาสตร์แห่งแรก ของยุโรป มีการพัฒนาการศึกษาในเรื่องต้นไม้อย่างเป็นระบบ ทั้งการเก็บ ตัวอย่างส่วนประกอบของพืช การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว การทําสวน ไปจนถึงการดูแลดอกไม้
เมื่อมีการนําเข้าดอกทิวลิปมาจากจักรวรรดิออตโตมัน สวนพฤกษศาสตร์แห่ง ไลเดินก็สามารถทําให้ดอกทิวลิปแพร่พันธุ์ได้โดยใช้เวลาไม่นาน ดอกไม้สีสันสดใสรูปร่างประหลาดไปเตะตานักลงทุนเข้า ทําให้มีการเก็งกําไร หัวทิวลิปในราคาสูง และสุดท้ายก็ราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดวิกฤติ เศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็น “ฟองสบู่แรกของมนุษยชาติ”ทำให้องค์ความรู้ด้านการปลูกพืชในเรือนกระจกที่ทำให้อุณหภูมิภายในสูงขึ้น เนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศเขตหนาวสามารถเพาะปลูกพืชเขตอบอุ่นได้ เช่น ส้มและสับปะรด แต่อย่างไรก็ตาม ผลผลิตทางการเกษตรยังคงจํากัดอยู่ใน สถาบันและพ่อค้าที่ร่ำรวย
จนเมื่อมีการก่อตั้งวิทยาลัยเกษตรแห่งชาติ ในเมืองวาเคอนิ่งเงิน ในปี ค.ศ. 1876 ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยวาเคอนิ่งเงิน (Wageningen University & Research) ก็ได้เริ่มให้ความสำคัญกับการปศุสัตว์ และพัฒนากระบวนการ เพาะปลูกมากขึ้น โดยเฉพาะไม้ดอกไม้ประดับ
นอกจากการเพาะปลูกแล้ว ชาวดัตช์ยังพัฒนาการจัดการและการกระจายสินค้า เกษตร ด้วยการริเริ่มสิ่งที่เรียกว่า “การประมูลดอกไม้”
ในปี ค.ศ. 1911 เกษตรกรในเมืองอัลซเมียร์ ทางตอนใต้ของกรุงอัมสเตอร์ดัม ได้รวมกันริเริ่มประมูลราคาดอกไม้ในคาเฟเล็ก ๆ
ต่อมาเมื่อมีการเปิดใช้งานสนามบินนานาชาติสคิปโฮล (Amsterdam Airport Schiphol) ซึ่งเป็นสนามบินหลักที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก เมืองอัลซเมียร์ ทําให้อัลซเมียร์เริ่มกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งและประมูลดอกไม้ของยุโรป และมีการจัดตั้งตลาดอัลเมียร์ เพราะการค้าไม้ดอกนั้นจําเป็น ต้องขนส่งทางอากาศเพื่อรักษาความสดใหม่
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนากิจการประมูลดอกไม้ ด้วยการรวมผู้ปลูกดอกไม้หลาย พันรายทั่วเนเธอร์แลนด์เข้าไว้ด้วยกัน วางระบบตรวจสอบคุณภาพของดอกไม้ จากผู้ปลูก จัดโกดังขนาดใหญ่ไว้จัดเก็บดอกไม้ พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ทั้งการ ขนส่งดอกไม้จากสนามบินมาเก็บไว้ที่โกดัง และส่งไปยังสนามบิน รวมถึงคิดค้น “การประมูลแบบดัตช์” (Dutch Auction) สําหรับการประมูล ดอกไม้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการประมูลที่ต้องทําโดยใช้เวลาน้อยที่สุดเพื่อรักษาความสดของดอกไม้
โดยจะเริ่มขานจากราคาที่สูงที่สุด เช่น ดอกกุหลาบช่อละ 20 ยูโร และค่อย ๆ ลดระดับราคาลงมาเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีผู้ซื้อที่สู้ราคาไหว และการขานรับจะทํา เพียงครั้งเดียว กระบวนการนี้ต่างจากการประมูลทั่วไป ที่มีการขานราคาใหม่เพิ่มไปเรื่อยๆและใช้เวลานาน
ด้วยการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการประมูล ระบบโลจิสติกส์ และการ ตรวจสอบคุณภาพของสินค้า ทำให้ตลาดอัลซเมียร์ ได้รับความไว้วางใจจาก ลูกค้า ทั้งเกษตรกร และเจ้าของกิจการร้านดอกไม้ จนเมืองอัลซเมียร์ได้รับสมญานามว่าเป็น “เมืองหลวงดอกไม้ของโลก”โดยมีบริษัท Royal FloraHolland เป็นผู้ควบคุมการประมูลดอกไม้ และ การบริหารโลจิสติกส์ในตลาดอัลชเมียร์
แต่การให้ความสําคัญกับไม้ดอกไม้ประดับมากเกินไป ทําให้เนเธอร์แลนด์เกิด ปัญหาขาดแคลนพืชอาหารในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
Sicco Mansholt รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของเนเธอร์แลนด์ในช่วงปี ค.ศ. 1945-1958 ออกนโยบายเปลี่ยนแนวทางการเกษตรให้เป็นไปใน เชิงธุรกิจ และให้ความสําคัญกับความยั่งยืนของผลผลิตอาหารมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1963 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรโดยมีเป้าหมายคือการช่วยเหลือตั้งแต่การเริ่มต้นอาชีพ ขายสินค้า ไปจนถึงการให้ทุนวิจัยและพัฒนาการทําเกษตรกรรมที่มีประสิทธิภาพและให้ผลผลิตได้มากขึ้น โดยมีมหาวิทยาลัยวาเคยนิ่งเงินเป็นผู้นําในการวิจัยและพัฒนา และร่วมมือกับภาคเอกชนในการนํางานวิจัยมาปรับใช้ ทั้งการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช การปลูกพืชในเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงจากการใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง มาสู่เกษตรอินทรีย์ ไปจนถึงการปรับปรุงพันธุ์ในระดับโมเลกุล
ความร่วมมืออย่างแนบแน่นระหว่างภาครัฐและเอกชน ทําให้เกิดบริษัทเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางการเกษตรมากมายในเนเธอร์แลนด์ ทั้ง Koppert Biological Systems ผู้นําด้านการควบคุมศัตรูและโรคพืชด้วย ชีววิธี มีผลิตภัณฑ์ เช่น ตัวอ่อนแมลงเต่าทองที่คอยกําจัดเพลี้ย
Duijvestijn Tomaten ผู้นําด้านการปลูกมะเขือเทศในเรือนกระจกโดยใช้ระบบ ไฮโดรโปนิกส์ หรือการปลูกพืชแบบไร้ดิน ที่ช่วยลดการใช้น้ําลงจากการเพาะปลูก แบบปกติ และมีการควบคุมอุณหภูมิในเรือนกระจกด้วยพลังงานความร้อน ใต้พิภพ
AgroExact บริษัทเทคโนโลยีผู้สร้างระบบตรวจสอบและเฝ้าติดตามคุณภาพดินและสภาพอากาศสําหรับเกษตรกรในราคาไม่แพง
ด้วยองค์ความรู้ด้านการเกษตรที่เข้มแข็ง การให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ความร่วมมือกันระหว่างภาควิชาการกับเอกชน ประกอบกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เนเธอร์แลนด์สามารถส่งออกผลผลิตหลากหลายในปริมาณ มากเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ควบคุมปัจจัยในการเพาะปลูก ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นเช่นไร
และด้วยทำเลที่ดี ความเชี่ยวชาญด้านการค้ามานาน ทำให้เนเธอร์แลนด์สามารถ ต่อยอดมูลค่าของสินค้า จากต้นน้ำา คือการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตร มาสู่การให้ บริการปลายน้ำ คือเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก
ในวันนี้ กังหันลมหลายแห่งไม่ได้ทําหน้าที่เดิมแล้ว แต่ยังคงตั้งตระหง่านเพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงความพยายามเกือบพันปีของเกษตรกรชาวดัตช์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรอันล้ําหน้า ที่ไม่ต้องมานั่งรอฟ้าหรือดินลิขิต แต่เลือกกําหนดชะตาชีวิตด้วยสมอง และสองมือของตัวเอง
เนเธอร์แลนด์..
ทำไมเนเธอร์แลนด์จึงเป็นประเทศแห่งเกษตรกรรมล้ำสมัย ?
เนเธอร์แลนด์ ประเทศที่มีพื้นที่เพียง 41,850 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่า ประเทศไทย 12 เท่า และเล็กเป็นอันดับที่ 131 ของโลก
แต่ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ กลับมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม มากเป็นอันดับ 2 ของโลกเกษตรกรชาวดัตช์ส่งออกดอกไม้มากที่สุดในโลก ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเป็นอันดับ 2 และส่งออกพืชผักเป็นอันดับ 3 ของโลก หากย้อนกลับไปเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ราวศตวรรษที่ 15 ดินแดนแห่งนี้ยังมีพื้นที่ กว่า 1 ใน 3 อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จนเป็นที่มาของคําว่าเนเธอร์แลนด์ ที่แปลว่า “แผ่นดินต่ำ”
อะไรที่ทำให้ชาวดัตช์ พลิกฟื้นแผ่นดินเล็ก ๆ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นําในวงการเกษตรกรรมของโลกรีวิวหนังสือ เริ่มต้นลงทุนหุ้นด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน
“กังหันลม” คือสัญลักษณ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตัวแทนของการ ต่อสู้กับธรรมชาติของชาวดัตช์มาตั้งแต่ยุคโบราณ
เนเธอร์แลนด์เป็นดินแดนเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปยุโรป ริมชายฝั่ง ทะเลเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีลมแรง และเกิดพายุบ่อยครั้งเพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก และขยายพื้นที่เพาะปลูก ชาวดัตช์จึงทำการปรับ พื้นที่ด้วยการสร้างเขื่อน ทางระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำจำนวนมาก โดย เขื่อนแห่งแรกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1320
ชาวดัตช์ยังได้พัฒนากังหันลมแบบต่าง ๆ เพื่อใช้งานตามที่ต้องการ โดยเฉพาะ กังหันลมเพื่อสูบน้ำออก ทำให้เกิดพื้นดินที่เกิดจากการถมทะเล เรียกว่า Polder ซึ่งใช้ในการเพาะปลูกและอยู่อาศัย
ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำไรน์ ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญของยุโรป เนเธอร์แลนด์ค่อย ๆ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นศูนย์กลางการค้า ดึงดูดพ่อค้าและ นายธนาคารให้มาตั้งรกราก โดยเฉพาะในกรุงอัมสเตอร์ดัมจนเมื่อเกิดการปฏิรูปศาสนาคริสต์ เหล่าพ่อค้าส่วนใหญ่เปลี่ยนมานับถือนิกาย โปรเตสแตนต์ เหตุผลหนึ่งเพราะไม่ต้องการจ่ายภาษีบํารุงให้ศาสนจักรคาทอลิก ในเวลานั้น เนเธอร์แลนด์ยังไม่ใช่ดินแดนเอกราช แต่ยังเป็นอาณานิคมของสเปนซึ่งเป็นอาณาจักรที่นับถือคาทอลิก
ด้วยความขัดแย้งทางศาสนาเป็นชนวนสำคัญ ชาวดัตช์จึงรวมตัวกันขับไล่สเปน โดยมีผู้นํา คือ วิลเลิมแห่งออเรนจ์ (William of Orange) ผู้ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่อง ให้เป็นบิดาของเนเธอร์แลนด์ จนในที่สุดก็สามารถก่อตั้งสาธารณรัฐดัตช์ได้สำเร็จ
ในเวลานั้นมีชาวเมืองไลเดิน (Leiden) เมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของกรุง อัมสเตอร์ดัม เป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสําคัญในการต่อสู้กับสเปน วิลเลิมแห่งออเรนจ์ จึงอยากมอบของขวัญให้กับชาวเมือง โดยให้เลือกระหว่าง “การลดภาษี” กับ“มหาวิทยาลัย”
แล้วชาวเมืองไลเดินก็เลือกมหาวิทยาลัย นับเป็นจุดเริ่มต้นของมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเนเธอร์แลนด์ คือ มหาวิทยาลัย ไลเดิน (Universiteit Leiden) ที่ถูกก่อตั้งในปี ค.ศ. 1575 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของสวนพฤกษศาสตร์แห่งไลเดิน (Hortus Botanicus Leiden)
ซึ่งเป็นสวนพฤกษศาสตร์สมัยใหม่แห่งแรกของโลก ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1590 โดย นักพฤกษศาสตร์ Carolus Clusius ซึ่งมีจุดประสงค์แรกเพื่อใช้เพาะปลูกพืช สมุนไพร และเริ่มมีการพัฒนาการปลูกพืชในเรือนกระจกเพื่อใช้ปลูกพืชเขตร้อนในปี ค.ศ. 1599
หลังจากขับไล่อิทธิพลของสเปนออกไปได้ ก็เปิดฉากยุคทองของเนเธอร์แลนด์ ในศตวรรษที่ 17พ่อค้าชาวดัตช์ก็เริ่มออกเดินเรือไปทำการค้าขายทั่วโลก รวมถึง “กรุงศรีอยุธยา” ที่รู้จักชาวดัตช์ภายใต้ชื่อ “ชาวฮอลันดา” โดยมีผู้นําคือบริษัทดัตช์ อีสต์ อินเดีย หรือ VOC ซึ่งเหล่าพ่อค้าของ VOC ก็ได้เก็บตัวอย่างพืชเขตร้อนกลับมาไว้ในเรือนกระจก ของสวนพฤกษศาสตร์ไลเดินด้วย
มหาวิทยาลัยไลเดินจึงนับเป็นสถาบันเพื่อการศึกษาทางพฤกษศาสตร์แห่งแรก ของยุโรป มีการพัฒนาการศึกษาในเรื่องต้นไม้อย่างเป็นระบบ ทั้งการเก็บ ตัวอย่างส่วนประกอบของพืช การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว การทําสวน ไปจนถึงการดูแลดอกไม้
เมื่อมีการนําเข้าดอกทิวลิปมาจากจักรวรรดิออตโตมัน สวนพฤกษศาสตร์แห่ง ไลเดินก็สามารถทําให้ดอกทิวลิปแพร่พันธุ์ได้โดยใช้เวลาไม่นาน ดอกไม้สีสันสดใสรูปร่างประหลาดไปเตะตานักลงทุนเข้า ทําให้มีการเก็งกําไร หัวทิวลิปในราคาสูง และสุดท้ายก็ราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดวิกฤติ เศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็น “ฟองสบู่แรกของมนุษยชาติ”ทำให้องค์ความรู้ด้านการปลูกพืชในเรือนกระจกที่ทำให้อุณหภูมิภายในสูงขึ้น เนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศเขตหนาวสามารถเพาะปลูกพืชเขตอบอุ่นได้ เช่น ส้มและสับปะรด แต่อย่างไรก็ตาม ผลผลิตทางการเกษตรยังคงจํากัดอยู่ใน สถาบันและพ่อค้าที่ร่ำรวย
จนเมื่อมีการก่อตั้งวิทยาลัยเกษตรแห่งชาติ ในเมืองวาเคอนิ่งเงิน ในปี ค.ศ. 1876 ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยวาเคอนิ่งเงิน (Wageningen University & Research) ก็ได้เริ่มให้ความสำคัญกับการปศุสัตว์ และพัฒนากระบวนการ เพาะปลูกมากขึ้น โดยเฉพาะไม้ดอกไม้ประดับ
นอกจากการเพาะปลูกแล้ว ชาวดัตช์ยังพัฒนาการจัดการและการกระจายสินค้า เกษตร ด้วยการริเริ่มสิ่งที่เรียกว่า “การประมูลดอกไม้”
ในปี ค.ศ. 1911 เกษตรกรในเมืองอัลซเมียร์ ทางตอนใต้ของกรุงอัมสเตอร์ดัม ได้รวมกันริเริ่มประมูลราคาดอกไม้ในคาเฟเล็ก ๆ
ต่อมาเมื่อมีการเปิดใช้งานสนามบินนานาชาติสคิปโฮล (Amsterdam Airport Schiphol) ซึ่งเป็นสนามบินหลักที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก เมืองอัลซเมียร์ ทําให้อัลซเมียร์เริ่มกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งและประมูลดอกไม้ของยุโรป และมีการจัดตั้งตลาดอัลเมียร์ เพราะการค้าไม้ดอกนั้นจําเป็น ต้องขนส่งทางอากาศเพื่อรักษาความสดใหม่
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนากิจการประมูลดอกไม้ ด้วยการรวมผู้ปลูกดอกไม้หลาย พันรายทั่วเนเธอร์แลนด์เข้าไว้ด้วยกัน วางระบบตรวจสอบคุณภาพของดอกไม้ จากผู้ปลูก จัดโกดังขนาดใหญ่ไว้จัดเก็บดอกไม้ พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ทั้งการ ขนส่งดอกไม้จากสนามบินมาเก็บไว้ที่โกดัง และส่งไปยังสนามบิน รวมถึงคิดค้น “การประมูลแบบดัตช์” (Dutch Auction) สําหรับการประมูล ดอกไม้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการประมูลที่ต้องทําโดยใช้เวลาน้อยที่สุดเพื่อรักษาความสดของดอกไม้
โดยจะเริ่มขานจากราคาที่สูงที่สุด เช่น ดอกกุหลาบช่อละ 20 ยูโร และค่อย ๆ ลดระดับราคาลงมาเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีผู้ซื้อที่สู้ราคาไหว และการขานรับจะทํา เพียงครั้งเดียว กระบวนการนี้ต่างจากการประมูลทั่วไป ที่มีการขานราคาใหม่เพิ่มไปเรื่อยๆและใช้เวลานาน
ด้วยการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการประมูล ระบบโลจิสติกส์ และการ ตรวจสอบคุณภาพของสินค้า ทำให้ตลาดอัลซเมียร์ ได้รับความไว้วางใจจาก ลูกค้า ทั้งเกษตรกร และเจ้าของกิจการร้านดอกไม้ จนเมืองอัลซเมียร์ได้รับสมญานามว่าเป็น “เมืองหลวงดอกไม้ของโลก”โดยมีบริษัท Royal FloraHolland เป็นผู้ควบคุมการประมูลดอกไม้ และ การบริหารโลจิสติกส์ในตลาดอัลชเมียร์
แต่การให้ความสําคัญกับไม้ดอกไม้ประดับมากเกินไป ทําให้เนเธอร์แลนด์เกิด ปัญหาขาดแคลนพืชอาหารในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
Sicco Mansholt รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของเนเธอร์แลนด์ในช่วงปี ค.ศ. 1945-1958 ออกนโยบายเปลี่ยนแนวทางการเกษตรให้เป็นไปใน เชิงธุรกิจ และให้ความสําคัญกับความยั่งยืนของผลผลิตอาหารมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1963 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรโดยมีเป้าหมายคือการช่วยเหลือตั้งแต่การเริ่มต้นอาชีพ ขายสินค้า ไปจนถึงการให้ทุนวิจัยและพัฒนาการทําเกษตรกรรมที่มีประสิทธิภาพและให้ผลผลิตได้มากขึ้น โดยมีมหาวิทยาลัยวาเคยนิ่งเงินเป็นผู้นําในการวิจัยและพัฒนา และร่วมมือกับภาคเอกชนในการนํางานวิจัยมาปรับใช้ ทั้งการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช การปลูกพืชในเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงจากการใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง มาสู่เกษตรอินทรีย์ ไปจนถึงการปรับปรุงพันธุ์ในระดับโมเลกุล
ความร่วมมืออย่างแนบแน่นระหว่างภาครัฐและเอกชน ทําให้เกิดบริษัทเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางการเกษตรมากมายในเนเธอร์แลนด์ ทั้ง Koppert Biological Systems ผู้นําด้านการควบคุมศัตรูและโรคพืชด้วย ชีววิธี มีผลิตภัณฑ์ เช่น ตัวอ่อนแมลงเต่าทองที่คอยกําจัดเพลี้ย
Duijvestijn Tomaten ผู้นําด้านการปลูกมะเขือเทศในเรือนกระจกโดยใช้ระบบ ไฮโดรโปนิกส์ หรือการปลูกพืชแบบไร้ดิน ที่ช่วยลดการใช้น้ําลงจากการเพาะปลูก แบบปกติ และมีการควบคุมอุณหภูมิในเรือนกระจกด้วยพลังงานความร้อน ใต้พิภพ
AgroExact บริษัทเทคโนโลยีผู้สร้างระบบตรวจสอบและเฝ้าติดตามคุณภาพดินและสภาพอากาศสําหรับเกษตรกรในราคาไม่แพง
ด้วยองค์ความรู้ด้านการเกษตรที่เข้มแข็ง การให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ความร่วมมือกันระหว่างภาควิชาการกับเอกชน ประกอบกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เนเธอร์แลนด์สามารถส่งออกผลผลิตหลากหลายในปริมาณ มากเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ควบคุมปัจจัยในการเพาะปลูก ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นเช่นไร
และด้วยทำเลที่ดี ความเชี่ยวชาญด้านการค้ามานาน ทำให้เนเธอร์แลนด์สามารถ ต่อยอดมูลค่าของสินค้า จากต้นน้ำา คือการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตร มาสู่การให้ บริการปลายน้ำ คือเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก
ในวันนี้ กังหันลมหลายแห่งไม่ได้ทําหน้าที่เดิมแล้ว แต่ยังคงตั้งตระหง่านเพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงความพยายามเกือบพันปีของเกษตรกรชาวดัตช์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรอันล้ําหน้า ที่ไม่ต้องมานั่งรอฟ้าหรือดินลิขิต แต่เลือกกําหนดชะตาชีวิตด้วยสมอง และสองมือของตัวเอง
เนเธอร์แลนด์..