นิพพาน ที่แปลว่า ดับเย็น นั้นไม่เป็นความจริง
ดับเย็น นั้น ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
เพราะว่าเมื่อสิ่งที่ นิพพานไปแล้ว สิ่งนั้นดับไปแล้ว ไม่มีอยู่แล้ว
การที่จะวัดค่าสิ่งนั้น (ร้อน เย็น) จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีสิ่งนั้นให้วัดค่าได้อีกแล้ว
เพราะว่า เมื่ออวิชชาดับ
โผฏฐัพพะ ก็ดับตามไปด้วย
(โผฏฐัพพะ คือ สิ่งที่มาถูกต้องกาย, สิ่งที่กายสัมผัสแตะต้องได้ ได้แก่ อารมณ์หรือสัมผัสที่มีลักษณะ แข็ง นิ่ม ตึง หย่อน ร้อน เย็น เคลื่อนไหว หยุดนิ่ง เจ็บ ปวด เมื่อย ชา คัน เป็นต้น ซึ่งมากระทบหรือสัมผัสกับกาย และกายสามารถรู้สึกได้ถึงลักษณะนั้น เช่น น้ำกระเซ็นมาถูกแขน แขนก็รู้สึกถึงสิ่งที่มาถูกนั้น)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9C%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B0
ดังนั้น คำว่า ดับเย็น จึงเป็นคำแต่งใหม่
และคำว่า ดับเย็น ไม่มีในพระไตรปิฎก
ดังนั้น ดับเย็น จึงไม่ตรงตามความเป็นจริงเกี่ยวกับ นิพพาน ทุกประการ(สมมติสัจจะ,ปรมัตสัจจะ)
อุปมาเปรียบเสมือน ไฟที่ดับไป ไฟที่ดับไปนั้นจะมีให้วัดค่าใดๆได้อย่างไร
คำว่า ดับเย็น ไม่เป็นความจริง เกี่ยวกับ นิพพาน
ดับเย็น นั้น ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
เพราะว่าเมื่อสิ่งที่ นิพพานไปแล้ว สิ่งนั้นดับไปแล้ว ไม่มีอยู่แล้ว
การที่จะวัดค่าสิ่งนั้น (ร้อน เย็น) จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีสิ่งนั้นให้วัดค่าได้อีกแล้ว
เพราะว่า เมื่ออวิชชาดับ
โผฏฐัพพะ ก็ดับตามไปด้วย
(โผฏฐัพพะ คือ สิ่งที่มาถูกต้องกาย, สิ่งที่กายสัมผัสแตะต้องได้ ได้แก่ อารมณ์หรือสัมผัสที่มีลักษณะ แข็ง นิ่ม ตึง หย่อน ร้อน เย็น เคลื่อนไหว หยุดนิ่ง เจ็บ ปวด เมื่อย ชา คัน เป็นต้น ซึ่งมากระทบหรือสัมผัสกับกาย และกายสามารถรู้สึกได้ถึงลักษณะนั้น เช่น น้ำกระเซ็นมาถูกแขน แขนก็รู้สึกถึงสิ่งที่มาถูกนั้น)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9C%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B0
ดังนั้น คำว่า ดับเย็น จึงเป็นคำแต่งใหม่
และคำว่า ดับเย็น ไม่มีในพระไตรปิฎก
ดังนั้น ดับเย็น จึงไม่ตรงตามความเป็นจริงเกี่ยวกับ นิพพาน ทุกประการ(สมมติสัจจะ,ปรมัตสัจจะ)
อุปมาเปรียบเสมือน ไฟที่ดับไป ไฟที่ดับไปนั้นจะมีให้วัดค่าใดๆได้อย่างไร