ข่าวล่าสุด 26 ตุลาคม 2568 ไทย-สหรัฐฯ ตกลงกรอบการค้าต่างตอบแทน หลายคนไม่คาดคิดว่าจะมีแถลงการณ์ร่วม กับ Trump แบบนี้
ที่ดูเหมือนว่าไทยจะเสียเปรียบมากที่สุด ได้แก่
1.
ไทยเปิดตลาดเกือบทั้งหมด (99%):
- ไทยตกลงที่จะ "ยกเลิกมาตรการกีดกันทางภาษีสำหรับสินค้าประมาณ ร้อยละ 99"
- สหรัฐฯ คงภาษีต่างตอบแทนไว้ที่
19% (จะลดเป็น 0% เฉพาะบางสินค้า)
แต่จากเว็บข่าว แม้เจอภาษีสหรัฐฯ ส่งออกไทย ขยายตัวถึง 19% ใน ก.ย. โตสูงสุดในรอบ 42 เดือน ตั้งแต่เริ่มใช้ tariff สิงหาคม การทำแบบนี้ไทยได้เปรียบตรงไหน ทำไมต้องรีบเซ็น?
https://thestandard.co/thai-exports-surge-19-percent/
2. ดีลการค้า 27,000 ล้านดอลลาร์ มูลค่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ระบุไว้ ไม่ใช่การลงทุนจากสหรัฐฯ แต่เป็น
ยอดการจัดซื้อ ที่ไทยตกลงจะซื้อจากสหรัฐฯ (ข้าวโพด, ก๊าซ, น้ำมัน, และเครื่องบิน 80 ลำ) ซึ่งนี่คือรายจ่ายของไทยและเป็นยอดขายของสหรัฐฯ => นี่ คือเงินออก ไม่ใช่เงินเข้า
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ
3. การสูญเสียอธิปไตยด้าน digital หรือการขายโฉนด digital ให้ สหรัฐ
- "ละเว้นจากการกำหนดภาษีบริการดิจิทัล (Digital Service Tax - DST)" หมายความว่าไทยไม่สามารถเก็บภาษีจาก tech ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ (เช่น Google, Facebook, Netflix) ซึ่งเราเสียดุลเยอะ ในขณะที่ประเทศทั่วโลก EU พยายามเก็บภาษีจาก platform เหล่านี้
- "ยกเลิกข้อกำหนดการประมวลผลภายในประเทศ สำหรับธุรกรรมชำระเงินออนไลน์" แปลว่า ข้อมูลการเงินคนไทย (บัตรเดบิต/เครดิต) ไม่ต้องเก็บในไทย ส่งไปเก็บต่างประเทศได้
- ต้องอนุญาต
การถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดนอย่างเสรี โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งขอบเขตกว้างมาก (รวมถึงข้อมูลการแพทย์ สุขภาพคนไทยไหม?)
-
ผ่อนปรนข้อจำกัดความเป็นเจ้าของต่างชาติในโทรคมนาคม คือการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติ หรือ hedge fund , nominee ต่างชาติ สามารถซื้อโครงสร้างพื้นฐานประเทศได้
ตัวอย่าง การสูญเสีย อำนาจ จากการขายอธิปไตย Digital
สมมติ รัฐบาลอยากสร้าง Super App เพื่อช่วยคนไทย e commerce จะเจอ เหตุการณ์
1.
ทรัพย์สินทางปัญญา : รัฐไทยต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ หรือเวลาทำ features บางอย่าง สหรัฐอาจอ้างเรื่อง IP ได้ อ้างอิงจาก "สหรัฐฯ และไทยจะสรุปข้อผูกพันเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมายาวนาน รวมถึงที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อต้านการปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าและการละเมิดลิขสิทธิ์"
2.
ห้ามเลือกปฏิบัติ และบังคับใช้ อ้างอิงจาก "
ละเว้นจากการกำหนด...มาตรการที่เลือกปฏิบัติกับบริการดิจิทัลหรือผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของสหรัฐฯ"
3.
ภาษีไม่เท่าเทียม → แข่งขันไม่ได้ตั้งแต่แรก เพราะ apps ต่างชาติ จากสหรัฐ ไม่เก็บภาษี
4. app ต่างชาติสามารถเก็บข้อมูล transaction พฤติกรรม คนไทยที่ต่างประเทศได้
แต่อันนี้ยังเป็นแค่ แถลงการณ์ร่วม
อีก 2-4 สัปดาห์ เขียนสัญญาฉบับเต็ม แต่กรอบใหญ่คงเปลี่ยนยาก
เขาอาจบอกว่า "We made a deal. A great deal. The best deal. So that's it, folks.
DONE DEAL." 😬
ข้อมูลจาก
https://thestandard.co/us-thai-reciprocal-trade-framework/
กรอบการค้า สหรัฐฯ-ไทย ยกเลิกภาษี 99% และ ดีล 27,000 ล้าน USD อาจนำไปสู่การ "ขายอธิปไตย" ด้าน digital หรือไม่
ที่ดูเหมือนว่าไทยจะเสียเปรียบมากที่สุด ได้แก่
1. ไทยเปิดตลาดเกือบทั้งหมด (99%):
- ไทยตกลงที่จะ "ยกเลิกมาตรการกีดกันทางภาษีสำหรับสินค้าประมาณ ร้อยละ 99"
- สหรัฐฯ คงภาษีต่างตอบแทนไว้ที่ 19% (จะลดเป็น 0% เฉพาะบางสินค้า)
แต่จากเว็บข่าว แม้เจอภาษีสหรัฐฯ ส่งออกไทย ขยายตัวถึง 19% ใน ก.ย. โตสูงสุดในรอบ 42 เดือน ตั้งแต่เริ่มใช้ tariff สิงหาคม การทำแบบนี้ไทยได้เปรียบตรงไหน ทำไมต้องรีบเซ็น?
https://thestandard.co/thai-exports-surge-19-percent/
2. ดีลการค้า 27,000 ล้านดอลลาร์ มูลค่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ระบุไว้ ไม่ใช่การลงทุนจากสหรัฐฯ แต่เป็น ยอดการจัดซื้อ ที่ไทยตกลงจะซื้อจากสหรัฐฯ (ข้าวโพด, ก๊าซ, น้ำมัน, และเครื่องบิน 80 ลำ) ซึ่งนี่คือรายจ่ายของไทยและเป็นยอดขายของสหรัฐฯ => นี่ คือเงินออก ไม่ใช่เงินเข้า
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ
3. การสูญเสียอธิปไตยด้าน digital หรือการขายโฉนด digital ให้ สหรัฐ
- "ละเว้นจากการกำหนดภาษีบริการดิจิทัล (Digital Service Tax - DST)" หมายความว่าไทยไม่สามารถเก็บภาษีจาก tech ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ (เช่น Google, Facebook, Netflix) ซึ่งเราเสียดุลเยอะ ในขณะที่ประเทศทั่วโลก EU พยายามเก็บภาษีจาก platform เหล่านี้
- "ยกเลิกข้อกำหนดการประมวลผลภายในประเทศ สำหรับธุรกรรมชำระเงินออนไลน์" แปลว่า ข้อมูลการเงินคนไทย (บัตรเดบิต/เครดิต) ไม่ต้องเก็บในไทย ส่งไปเก็บต่างประเทศได้
- ต้องอนุญาตการถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดนอย่างเสรี โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งขอบเขตกว้างมาก (รวมถึงข้อมูลการแพทย์ สุขภาพคนไทยไหม?)
- ผ่อนปรนข้อจำกัดความเป็นเจ้าของต่างชาติในโทรคมนาคม คือการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติ หรือ hedge fund , nominee ต่างชาติ สามารถซื้อโครงสร้างพื้นฐานประเทศได้
ตัวอย่าง การสูญเสีย อำนาจ จากการขายอธิปไตย Digital
สมมติ รัฐบาลอยากสร้าง Super App เพื่อช่วยคนไทย e commerce จะเจอ เหตุการณ์
1. ทรัพย์สินทางปัญญา : รัฐไทยต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ หรือเวลาทำ features บางอย่าง สหรัฐอาจอ้างเรื่อง IP ได้ อ้างอิงจาก "สหรัฐฯ และไทยจะสรุปข้อผูกพันเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมายาวนาน รวมถึงที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อต้านการปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าและการละเมิดลิขสิทธิ์"
2. ห้ามเลือกปฏิบัติ และบังคับใช้ อ้างอิงจาก "ละเว้นจากการกำหนด...มาตรการที่เลือกปฏิบัติกับบริการดิจิทัลหรือผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของสหรัฐฯ"
3. ภาษีไม่เท่าเทียม → แข่งขันไม่ได้ตั้งแต่แรก เพราะ apps ต่างชาติ จากสหรัฐ ไม่เก็บภาษี
4. app ต่างชาติสามารถเก็บข้อมูล transaction พฤติกรรม คนไทยที่ต่างประเทศได้
แต่อันนี้ยังเป็นแค่ แถลงการณ์ร่วม อีก 2-4 สัปดาห์ เขียนสัญญาฉบับเต็ม แต่กรอบใหญ่คงเปลี่ยนยาก
เขาอาจบอกว่า "We made a deal. A great deal. The best deal. So that's it, folks. DONE DEAL." 😬
ข้อมูลจาก
https://thestandard.co/us-thai-reciprocal-trade-framework/