เดินไปจากความเหงาของเยาว์วัย

กระทู้สนทนา

หมอกบางขาวลอยเหนือทุ่ง
แสงแรกของวันเลียผิวข้าวอ่อน
เสียงระฆังวัดไกลพาใจฉันกลับไปสู่ความเงียบ
ขณะที่เสียงควายลากไถยังเป็นบทสวดของผืนดิน

ฉันเคยนั่งฟังเสียงลมผ่านรวงข้าว
เหมือนฟังคำสอนของฤๅษีในถ้ำหิมาลัย
แต่แท้จริงแล้วเสียงนั้นคือหัวใจของแม่
ที่สวดบทภาวนาให้ชีวิตอยู่รอดในวันต่อไป

ท้องฟ้ากว้างเกินเด็กคนหนึ่งจะเข้าใจ
เหมือนคำว่า “ความสุข” ที่ยังไม่รู้จักที่มา
ในเงาของกอไผ่ ฉันเห็นการเกิดดับของเงา
วัวเฒ่ามองฉันด้วยดวงตาเหมือนสายน้ำที่ไหลไม่สิ้น
ไม่มีคำพูด แต่ในนั้นมีความรู้มากกว่าหนังสือพันเล่ม

ฉันคิดถึงกวีธิเบตผู้กล่าวว่า
“เมื่อลมหายใจสิ้น ความคิดก็มลายตาม”
แต่ในความเป็นเด็ก ฉันยังไม่เข้าใจคำนี้ดีพอ
ฉันเพียงรู้ว่า เมื่อฟ้าผ่าลงในทุ่งนา
ฝนจะตกตามมาเสมอ

เสียงใบไผ่สีกันเหมือนเสียงพระท่องบทสวด
ร่ายมนต์แห่งความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครหลีกได้
ในหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีถนน ไม่มีตลาด
มีเพียงเส้นทางดินแดงที่เท้าเด็กเหยียบจนชิน
ฝุ่นคลุ้งลอยเหมือนควันธูปถวายให้ฟ้า

ฉันเดินตามพ่อไปยังปลายนา
เห็นเงาตัวเองทอดยาวบนคันดิน
เหมือนคำถามที่ยืดยาวไปถึงขอบฟ้า
“ชีวิตจะเดินไปไหน”
พ่อไม่ตอบ ท่านเพียงเงยหน้ามองเมฆ
ราวกับถามฟ้าว่าฝนจะมาไหม

ในความเงียบนั้น
ฉันได้ยินคำตอบที่ไม่มีเสียง
มันคือการเรียนรู้ครั้งแรกของการเติบโต

แดดบ่ายร้อนราวกับความฝันของคนหนุ่ม
รั้วไม้ไผ่ที่เอนเอียงเหมือนความทรงจำของยาย
ทุกสิ่งกำลังผุกร่อนอย่างนุ่มนวล
กิ่งไม้แห้งวาดเงาลงบนพื้นดิน
เหมือนอักษรโบราณของภาษาที่ไม่มีใครอ่านออก
แต่แฝงไว้ด้วยปรีชาญาณแห่งกาลเวลา

ฉันคิดถึงบทกวีจีนที่ว่า
“เสียงระฆังยามบ่ายปลุกเงาใจให้รู้ตื่น”
แต่ที่นี่ไม่มีระฆัง มีเพียงเสียงจักจั่น
ที่สวดแทนธรรมะของผืนดิน

แสงจันทร์ในคืนเพ็ญทอดยาวบนหลังคาเรือน
คล้ายผ้าคลุมของพระโพธิสัตว์
ฉันนั่งฟังเสียงน้ำไหลจากตุ่มดินเผา
แต่ละหยดดังราวกับเวลาที่ร่วงหล่น
ยายบอกว่าจันทร์คือดวงตาของคนที่จากไป
แต่ฉันคิดว่ามันคือกระจกสะท้อนความว่าง
เมื่อมองนาน ๆ ใบหน้าฉันก็เลือนหาย
เหลือเพียงแสงที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร

ในความสงบเงียบนี้
ฉันเริ่มเข้าใจคำของนักบวชธิเบต
“ความว่างมิใช่ความไม่มี
แต่คือความเต็มที่ไร้ขอบเขตของการเป็น”

เมื่อถึงวันหนึ่ง เสียงหัวเราะของเพื่อนในทุ่งหายไปทีละคน
ควายแก่ล้มตาย นากลายเป็นบ้าน
และฉันเริ่มเรียนรู้ภาษาของเมือง
แต่ในทุกถ้อยคำของโลกใหม่
ฉันยังได้ยินเสียงลมเก่าพูดอยู่ในใจ
มันไม่ได้พูดอะไรชัดเจน
เพียงพัดให้ใบไม้แห่งความทรงจำไหวเบา ๆ

ฉันจึงรู้ว่า ความเหงาไม่เคยหายไป
มันเพียงเดินเคียงข้าง
เหมือนเงาของเท้าในยามอาทิตย์อัสดง

เมื่อฉันก้าวออกจากหมู่บ้านนั้นอีกครั้ง
ไม่มีใครร่ำลา นอกจากสายลม
กลิ่นควันไฟจากเรือนยังอ้อยอิ่งในอากาศ
เหมือนคำภาวนาไร้ถ้อยคำของผู้เฒ่า

ฉันเดินไปโดยไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ใด
แต่อะไรบางอย่างในใจสงบ
เหมือนน้ำในตุ่มหลังฝนตก
สะท้อนฟ้าโดยไม่ปรารถนาจะจำภาพนั้นไว้

และในความสงบเช่นนั้น
ฉันพบว่า ความเหงาไม่ใช่ศัตรู
แต่คือครูผู้สอนให้เข้าใจความว่าง

ยามค่ำของชีวิต
ฉันมองเห็นตัวเองในเงาสายลม
ไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกต่อไป
แต่เป็นเพียงการปรากฏชั่วคราวของลมหายใจหนึ่ง

บนขอบท้องฟ้า
หมอกบางลอยเหมือนอักษรที่เขียนด้วยมือของกาลเวลา
มันไม่ได้พูดคำลา เพราะไม่มีใครจากไปจริง ๆ

ทุกสิ่งเพียงแค่ “เดิน”
จากความเหงา สู่ความว่าง
จากเยาว์วัย สู่ความไม่รู้
และในนั้นเอง
ฉันพบว่า การเดิน มิใช่การจากลา
แต่คือการกลับบ้าน...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่