F-8 Crusader นักสู้ปืนคนสุดท้าย "The Last Gunfighter"

F-8 Crusader ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ประจำการอยู่ในกองทัพเรือสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายยุค 50 ถึงต้นยุค 70 และได้รับฉายาว่า "นักสู้ติดปืนคนสุดท้าย" (The Last of the Gunfighters)
ลักษณะเด่นและการพัฒนา
F-8 ถูกพัฒนาโดยบริษัท Vought เพื่อทดแทนเครื่องบินรุ่นเก่า มีความโดดเด่นด้านความเร็วและความคล่องตัว แม้รูปลักษณ์จะไม่เพรียวบางเท่าเครื่องบินเจ็ตรุ่นอื่น ๆ แต่ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยหลายอย่าง:
ปีกแบบพิเศษ: มีปีกชิ้นเดียวที่มีอัตราส่วนกว้างต่ำ (low aspect ratio wing) และสามารถปรับมุมเงยขึ้นได้ถึง 7 องศา เพื่อสร้างแรงยกเพิ่มเติมและลดความเร็วเครื่องตกขณะขึ้นและลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน นวัตกรรมนี้ทำให้ทีมพัฒนาได้รับรางวัล Collier Trophy ในปี 1956
วัสดุ: วิศวกรได้ใช้ส่วนประกอบปีกและโครงเครื่องบินที่ทำจากไทเทเนียมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดน้ำหนัก
เครื่องยนต์: ใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney J-57 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เจ็ทของสหรัฐฯ รุ่นแรกที่ให้แรงขับสูงถึง 10,000 ปอนด์ และสามารถเพิ่มแรงขับได้เกือบ 60% เมื่อเปิด Afterburner
อาวุธ: แม้จะเป็นยุคที่ขีปนาวุธเริ่มเข้ามามีบทบาท แต่ F-8 ก็ยังคงติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 20 มม. จำนวน 4 กระบอก ควบคู่ไปกับขีปนาวุธนำวิถี AIM-9 Sidewinder และระเบิด ทำให้ได้ฉายาว่า "นักสู้ติดปืนคนสุดท้าย"
ประวัติการปฏิบัติการที่สำคัญ
สร้างสถิติ: F-8 Crusader สร้างสถิติความเร็วหลายครั้ง โดยทำความเร็วได้ถึง 1,016 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 1956 และเป็นเครื่องบินปฏิบัติการลำแรกที่บินได้เร็วกว่า 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมงในระดับการบินปกติ
วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา: ในปี 1962 F-8 รุ่นลาดตระเวน (RF-8A) ซึ่งไม่มีอาวุธ ได้ทำหน้าที่บินถ่ายภาพความเร็วสูงและระดับต่ำเหนือคิวบา ถ่ายภาพที่สำคัญกว่า 170,000 ภาพที่ยืนยันว่าโซเวียตกำลังติดตั้งขีปนาวุธ
สงครามเวียดนาม: ในสงครามนี้ F-8 ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเครื่องบินต่อสู้ระยะประชิด (dogfighter) ที่ยอดเยี่ยม โดยยิงเครื่องบิน MiG ของฝ่ายตรงข้ามตก 19 ลำ แต่ที่น่าสนใจคือ มีเพียง 4 ลำเท่านั้นที่ถูกยิงด้วยปืนใหญ่ ส่วนที่เหลือมาจากขีปนาวุธ Sidewinder ถึงแม้จะมีฉายาว่า "นักสู้ติดปืนคนสุดท้าย" แต่ปืนของมันก็มักถูกวิจารณ์ว่าขัดลำกล้องได้ง่ายและมีกำลังน้อย
ปัญหาและข้อด้อย
แม้จะเป็นเครื่องบินที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ F-8 ก็ขึ้นชื่อว่า บังคับยาก โดยเฉพาะสำหรับนักบินที่ไม่มีประสบการณ์:
การลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน: มีความเร็วในการลงจอดที่สูงและมักเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงปัญหาการสะบัดหาง (swap ends) และการควบคุมที่ยากในความเร็วต่ำ
ปัญหาเรื่องความปลอดภัย: ช่องรับอากาศที่อยู่ระดับต่ำทำให้เครื่องยนต์มีโอกาสดูดสิ่งแปลกปลอมหรือแม้แต่ลูกเรือบนดาดฟ้าเรือ ทำให้ F-8 ถูกเรียกว่า "Gators" และ "Ensign Eliminators"
รุ่นอื่น ๆ และบทสรุป
รุ่น Super Crusader (XF-8U-3): เป็นต้นแบบที่ถูกยกเลิกการผลิต แม้จะใหญ่กว่า เร็วกว่า และคล่องตัวกว่า F-8 รุ่นแรกมาก และยังสามารถเอาชนะเครื่องบิน F-4 Phantoms ในการฝึกซ้อมรบได้ แต่กองทัพเรือก็ตัดสินใจเลือก F-4 เป็นเครื่องบินหลักแทน ทำให้ Super Crusader กลายเป็น "หนึ่งในเครื่องบินที่ดีที่สุดที่กองทัพเรือเคยยกเลิก"
การปลดประจำการ: F-8 Crusader ถูกผลิตขึ้นกว่า 1,200 ลำ และส่วนใหญ่ถูกปลดประจำการในช่วงกลางทศวรรษ 1970 แต่บางรุ่น เช่น รุ่นลาดตระเวน ยังคงประจำการอยู่ในหน่วยกองหนุนของสหรัฐฯ และกองทัพเรือฝรั่งเศสจนถึงทศวรรษ 1990
ในที่สุด F-8 Crusader ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีการบิน มันแสดงให้เห็นว่าถึงแม้จะมีความก้าวหน้า แต่ความสามารถของนักบินและความสำคัญของอาวุธแบบดั้งเดิมก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการรบทางอากาศ

F-8 Crusader นักสู้ปืนคนสุดท้าย "The Last Gunfighter"
ลักษณะเด่นและการพัฒนา
F-8 ถูกพัฒนาโดยบริษัท Vought เพื่อทดแทนเครื่องบินรุ่นเก่า มีความโดดเด่นด้านความเร็วและความคล่องตัว แม้รูปลักษณ์จะไม่เพรียวบางเท่าเครื่องบินเจ็ตรุ่นอื่น ๆ แต่ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยหลายอย่าง:
ปีกแบบพิเศษ: มีปีกชิ้นเดียวที่มีอัตราส่วนกว้างต่ำ (low aspect ratio wing) และสามารถปรับมุมเงยขึ้นได้ถึง 7 องศา เพื่อสร้างแรงยกเพิ่มเติมและลดความเร็วเครื่องตกขณะขึ้นและลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน นวัตกรรมนี้ทำให้ทีมพัฒนาได้รับรางวัล Collier Trophy ในปี 1956
วัสดุ: วิศวกรได้ใช้ส่วนประกอบปีกและโครงเครื่องบินที่ทำจากไทเทเนียมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดน้ำหนัก
เครื่องยนต์: ใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney J-57 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เจ็ทของสหรัฐฯ รุ่นแรกที่ให้แรงขับสูงถึง 10,000 ปอนด์ และสามารถเพิ่มแรงขับได้เกือบ 60% เมื่อเปิด Afterburner
อาวุธ: แม้จะเป็นยุคที่ขีปนาวุธเริ่มเข้ามามีบทบาท แต่ F-8 ก็ยังคงติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 20 มม. จำนวน 4 กระบอก ควบคู่ไปกับขีปนาวุธนำวิถี AIM-9 Sidewinder และระเบิด ทำให้ได้ฉายาว่า "นักสู้ติดปืนคนสุดท้าย"
ประวัติการปฏิบัติการที่สำคัญ
สร้างสถิติ: F-8 Crusader สร้างสถิติความเร็วหลายครั้ง โดยทำความเร็วได้ถึง 1,016 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 1956 และเป็นเครื่องบินปฏิบัติการลำแรกที่บินได้เร็วกว่า 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมงในระดับการบินปกติ
วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา: ในปี 1962 F-8 รุ่นลาดตระเวน (RF-8A) ซึ่งไม่มีอาวุธ ได้ทำหน้าที่บินถ่ายภาพความเร็วสูงและระดับต่ำเหนือคิวบา ถ่ายภาพที่สำคัญกว่า 170,000 ภาพที่ยืนยันว่าโซเวียตกำลังติดตั้งขีปนาวุธ
สงครามเวียดนาม: ในสงครามนี้ F-8 ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเครื่องบินต่อสู้ระยะประชิด (dogfighter) ที่ยอดเยี่ยม โดยยิงเครื่องบิน MiG ของฝ่ายตรงข้ามตก 19 ลำ แต่ที่น่าสนใจคือ มีเพียง 4 ลำเท่านั้นที่ถูกยิงด้วยปืนใหญ่ ส่วนที่เหลือมาจากขีปนาวุธ Sidewinder ถึงแม้จะมีฉายาว่า "นักสู้ติดปืนคนสุดท้าย" แต่ปืนของมันก็มักถูกวิจารณ์ว่าขัดลำกล้องได้ง่ายและมีกำลังน้อย
ปัญหาและข้อด้อย
แม้จะเป็นเครื่องบินที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ F-8 ก็ขึ้นชื่อว่า บังคับยาก โดยเฉพาะสำหรับนักบินที่ไม่มีประสบการณ์:
การลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน: มีความเร็วในการลงจอดที่สูงและมักเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงปัญหาการสะบัดหาง (swap ends) และการควบคุมที่ยากในความเร็วต่ำ
ปัญหาเรื่องความปลอดภัย: ช่องรับอากาศที่อยู่ระดับต่ำทำให้เครื่องยนต์มีโอกาสดูดสิ่งแปลกปลอมหรือแม้แต่ลูกเรือบนดาดฟ้าเรือ ทำให้ F-8 ถูกเรียกว่า "Gators" และ "Ensign Eliminators"
รุ่นอื่น ๆ และบทสรุป
รุ่น Super Crusader (XF-8U-3): เป็นต้นแบบที่ถูกยกเลิกการผลิต แม้จะใหญ่กว่า เร็วกว่า และคล่องตัวกว่า F-8 รุ่นแรกมาก และยังสามารถเอาชนะเครื่องบิน F-4 Phantoms ในการฝึกซ้อมรบได้ แต่กองทัพเรือก็ตัดสินใจเลือก F-4 เป็นเครื่องบินหลักแทน ทำให้ Super Crusader กลายเป็น "หนึ่งในเครื่องบินที่ดีที่สุดที่กองทัพเรือเคยยกเลิก"
การปลดประจำการ: F-8 Crusader ถูกผลิตขึ้นกว่า 1,200 ลำ และส่วนใหญ่ถูกปลดประจำการในช่วงกลางทศวรรษ 1970 แต่บางรุ่น เช่น รุ่นลาดตระเวน ยังคงประจำการอยู่ในหน่วยกองหนุนของสหรัฐฯ และกองทัพเรือฝรั่งเศสจนถึงทศวรรษ 1990
ในที่สุด F-8 Crusader ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีการบิน มันแสดงให้เห็นว่าถึงแม้จะมีความก้าวหน้า แต่ความสามารถของนักบินและความสำคัญของอาวุธแบบดั้งเดิมก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการรบทางอากาศ