🕯️ คำนำ
“รอยกรรม”
คือเงาที่ติดตามมนุษย์ไม่ว่าสว่างหรือมืด
คือเสียงเรียกจากอดีต ที่แม้สิ้นลมหายใจแล้วก็ยังไม่ดับสูญ
ในยุคที่บางกอกยังมีลำน้ำใหญ่คดเคี้ยวผ่านบ้านเรือนไม้และเสียงกังสดาลวัดยังดังทุกยามเย็น มีเรือนผู้ดีเก่าหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมสายน้ำ ภายใต้ความงามและศักดิ์ศรีนั้นกลับซ่อนบางสิ่งไว้—บางสิ่งที่ไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า แต่คงอยู่ด้วยแรงแห่งกรรม
เรื่องราวเริ่มจากชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งได้รับโอกาสอันน่าภาคภูมิใจให้เข้าไปรับใช้ท่านเจ้าคุณในฐานะเลขานุการ หากแต่คืนแรกของเขาในเรือนนั้น กลับได้ยินเสียงกระซิบเรียกจากนอกหน้าต่าง…เสียงที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกของผู้เป็น
สิ่งที่เขาพบต่อจากนั้น คือความจริงที่เชื่อมโยงชีวิตและความตายของผู้คนในเรือนเก่า กับรอยกรรมที่ไม่เคยเลือน แม้เวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม
“เพราะกรรม มิได้จางหายตามกาล แต่รอวันจะย้อนคืนมา… ในเงาของเรือนที่ยังมีผู้รออยู่”
ตอนที่ 1: คำเชิญสู่เรือนเจ้าพระยา
ณ ปลายรัชกาลที่ ๕ เมื่อความรุ่งเรืองแบบตะวันตกเริ่มย่างกรายเข้าสู่พระนคร บางกอกยังคงมีบรรยากาศดั้งเดิมที่สงบเงียบในตรอกซอยและริมคลองคดเคี้ยว ข้าพเจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจากต่างจังหวัด ผู้ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มีโอกาสย่างเท้าเข้าสู่คฤหาสน์ของท่านผู้เป็นใหญ่ แต่แล้วจดหมายฉบับหนึ่งที่ประทับตราตระกูลผู้สูงศักดิ์ก็ส่งมาถึง สารนั้นเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าเข้ารับตำแหน่งเลขานุการในเรือนของท่านเจ้าคุณ ด้วยความตื่นเต้นและโสมนัส ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่บางกอกทันที
การเดินทางเข้าสู่บางกอกช่างเต็มไปด้วยความตื่นตา สำหรับคนบ้านนอกเช่นข้าพเจ้า เสียงกังสดาลวัดยามเย็นดังกังวานต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนไกล เรือแจวลำน้อยพาล่องไปตามลำน้ำหลวง สองฝั่งสายน้ำเผยให้เห็นเรือนแพและบ้านไม้หลังคาสูงเรียงราย แสงอาทิตย์อัสดงสีแสดส้มทาบลงบนผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ชวนให้รู้สึกถึงความงดงามและขลังของเมืองหลวงในกาลก่อน
เมื่อข้าพเจ้ามาถึงท่าน้ำหน้าเรือนของท่านเจ้าคุณ พลบค่ำก็ย่างกรายลงมา จวนหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำ ด้านหน้ามีสวนกว้างและไม้ใหญ่แผ่กิ่งคลุมบริเวณ องค์พระจันทร์แรกแรมลอยเด่นบนฟ้า เปล่งแสงนวลซีดทาบเงาไม้เป็นรูปร่างประหลาดบนพื้น ความเงียบสงัดยามราตรีคืบคลาน บรรยากาศวังเวงราวกับไร้ผู้คน ทว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าสู่เขตรั้ว ก็มีชายผู้หนึ่งถือตะเกียงเจ้าพายุตรงเข้ามาต้อนรับ
“มาเถิดขอรับ ท่านเจ้าคุณรออยู่” บ่าวผู้นั้นกล่าว พลางยกตะเกียงส่องนำทางให้เห็นลานกรวด เสียงเม็ดกรวดกรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าชวนให้ใจข้าพเจ้าหวั่นอยู่ในที ข้าพเจ้าโน้มศีรษะลงแสดงความนอบน้อม ชายผู้นั้นมีท่าทีสุภาพแต่สีหน้าเรียบเฉย คงต้อนรับแขกตามหน้าที่
ภายในเรือนนั้นวิจิตรสมฐานะคหบดี โคมระย้าฝรั่งห้อยจากเพดานกลางโถง แสงไฟวับแวมทำให้ภาพสีน้ำมันของบรรพชนที่แขวนเรียงรายดูเคร่งขรึม พื้นกระเบื้องลายตะวันตกเย็นสลัว มีเพียงแสงตะเกียงในมือบ่าวที่ส่องให้เห็นเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักตั้งตระหง่าน
ไม่นาน ข้าพเจ้าก็ถูกพาไปยังห้องรับรองเล็ก เพื่อพบนายแม่บ้าน หญิงวัยกลางคนใบหน้าเข้ม นามว่า “คุณอิ่ม” ผู้เป็นหัวหน้าบ่าว “ยินดีต้อนรับสู่เรือนท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงเรียบ ขณะกวาดตาพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ราวประเมินว่าเด็กหนุ่มจากบ้านนอกเช่นข้าพเจ้าจะรับใช้ผู้เป็นเจ้าของจวนได้เพียงใด ข้าพเจ้าโค้งคำนับ “กระผมขอฝากตัวด้วยขอรับ”
คุณอิ่มพยักหน้ารับ ก่อนให้บ่าวอีกคนพาไปยังห้องพัก เราเดินผ่านระเบียงยาวซึ่งมีตะเกียงจุดห่างๆ แสงริบหรี่ทอดเงายาวบนพื้นไม้ ห้องพักเล็กที่จัดไว้มีเตียงไม้สักและมุ้งสีขาวสะอาด ตั้งอยู่ปีกเรือนด้านข้างที่เงียบสงัด หน้าต่างเล็กมองออกไปเห็นลานหลังบ้าน มีต้นลั่นทมยืนต้นเด่นอยู่ในความมืด
ข้าพเจ้าวางสัมภาระน้อยชิ้น ก่อนนั่งลงบนเตียงด้วยความอ่อนล้าเจือความตื่นเต้น เส้นทางชีวิตใหม่กำลังเริ่ม ณ เรือนผู้เป็นใหญ่ริมสายน้ำใหญ่ ทว่าความเงียบอ้างว้างยามค่ำก็ชวนให้หวั่นใจ คืนนั้น แม้ร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทาง ข้าพเจ้ากลับพลิกกายไปมา อึดอัดด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ได้
ใต้ผ้ามุ้งมืดสนิท ข้าพเจ้าหลับตาหวังข่มตานอน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ เสียงแผ่วคล้ายคนกระซิบดังมาจากนอกหน้าต่าง ข้าพเจ้าลืมตาขึ้น ใจเต้นระทึก เพ่งมองบานหน้าต่างที่ปิดสนิท เห็นเงากิ่งลั่นทมไหวเอนตามลมราตรี เสียงกระซิบนั้นขาดหายครู่หนึ่ง ก่อนดังขึ้นอีก คราวนี้ชัดกว่าเดิม พอจับความได้ว่า “มา…มาเถิด…” น้ำเสียงเย็นเยียบแหบพร่า ทำเอาข้าพเจ้าใจหายวาบ รีบผุดลุกขึ้นนั่ง จ้องบานหน้าต่างเขม็ง
หัวใจเต้นระส่ำ ฝ่ามือชุ่มเหงื่อเย็นเฉียบ เสียงนั้นเงียบไป ข้าพเจ้านั่งนิ่งอยู่นานราวชั่วกัปกัลป์ ในที่สุดก็ฝืนใจลุกเดินไปที่หน้าต่างอย่างช้าๆ ความกลัวงอกเงยทีละน้อย แต่ความอยากรู้อยากเห็นผลักดันให้ค่อยๆ แง้มบานออก
ลมดึกพัดวูบเข้ามาปะทะใบหน้า ขนลุกเกรียว ภายนอกเงียบสนิท มีเพียงเงาต้นลั่นทมทอดยาวบนพื้น และแนวเรือนคนใช้ลดหลั่นในความมืด สายตาข้าพเจ้ากวาดมองหาที่มาของเสียงประหลาด แต่ไม่พบสิ่งใด ข้าพเจ้าถอนใจยาว พยายามบอกตนเองว่าเสียงที่ได้ยินคงเป็นเพียงภาพฝันจากความเหนื่อยล้าและกังวล
ถึงจะปลอบใจตนเองเช่นนั้น แต่ลึกๆ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า การมาถึงเรือนของท่านเจ้าคุณครั้งนี้ อาจนำพาให้ได้พบสิ่งที่คาดไม่ถึง—บางอย่างซึ่งซ่อนอยู่ใต้ความสงบงามของเรือนริมแม่น้ำสายหลักของพระนคร…
รอยกรรม
🕯️ คำนำ
“รอยกรรม”
คือเงาที่ติดตามมนุษย์ไม่ว่าสว่างหรือมืด
คือเสียงเรียกจากอดีต ที่แม้สิ้นลมหายใจแล้วก็ยังไม่ดับสูญ
ในยุคที่บางกอกยังมีลำน้ำใหญ่คดเคี้ยวผ่านบ้านเรือนไม้และเสียงกังสดาลวัดยังดังทุกยามเย็น มีเรือนผู้ดีเก่าหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมสายน้ำ ภายใต้ความงามและศักดิ์ศรีนั้นกลับซ่อนบางสิ่งไว้—บางสิ่งที่ไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า แต่คงอยู่ด้วยแรงแห่งกรรม
เรื่องราวเริ่มจากชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งได้รับโอกาสอันน่าภาคภูมิใจให้เข้าไปรับใช้ท่านเจ้าคุณในฐานะเลขานุการ หากแต่คืนแรกของเขาในเรือนนั้น กลับได้ยินเสียงกระซิบเรียกจากนอกหน้าต่าง…เสียงที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกของผู้เป็น
สิ่งที่เขาพบต่อจากนั้น คือความจริงที่เชื่อมโยงชีวิตและความตายของผู้คนในเรือนเก่า กับรอยกรรมที่ไม่เคยเลือน แม้เวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม
“เพราะกรรม มิได้จางหายตามกาล แต่รอวันจะย้อนคืนมา… ในเงาของเรือนที่ยังมีผู้รออยู่”
ตอนที่ 1: คำเชิญสู่เรือนเจ้าพระยา
ณ ปลายรัชกาลที่ ๕ เมื่อความรุ่งเรืองแบบตะวันตกเริ่มย่างกรายเข้าสู่พระนคร บางกอกยังคงมีบรรยากาศดั้งเดิมที่สงบเงียบในตรอกซอยและริมคลองคดเคี้ยว ข้าพเจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจากต่างจังหวัด ผู้ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มีโอกาสย่างเท้าเข้าสู่คฤหาสน์ของท่านผู้เป็นใหญ่ แต่แล้วจดหมายฉบับหนึ่งที่ประทับตราตระกูลผู้สูงศักดิ์ก็ส่งมาถึง สารนั้นเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าเข้ารับตำแหน่งเลขานุการในเรือนของท่านเจ้าคุณ ด้วยความตื่นเต้นและโสมนัส ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่บางกอกทันที
การเดินทางเข้าสู่บางกอกช่างเต็มไปด้วยความตื่นตา สำหรับคนบ้านนอกเช่นข้าพเจ้า เสียงกังสดาลวัดยามเย็นดังกังวานต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนไกล เรือแจวลำน้อยพาล่องไปตามลำน้ำหลวง สองฝั่งสายน้ำเผยให้เห็นเรือนแพและบ้านไม้หลังคาสูงเรียงราย แสงอาทิตย์อัสดงสีแสดส้มทาบลงบนผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ชวนให้รู้สึกถึงความงดงามและขลังของเมืองหลวงในกาลก่อน
เมื่อข้าพเจ้ามาถึงท่าน้ำหน้าเรือนของท่านเจ้าคุณ พลบค่ำก็ย่างกรายลงมา จวนหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำ ด้านหน้ามีสวนกว้างและไม้ใหญ่แผ่กิ่งคลุมบริเวณ องค์พระจันทร์แรกแรมลอยเด่นบนฟ้า เปล่งแสงนวลซีดทาบเงาไม้เป็นรูปร่างประหลาดบนพื้น ความเงียบสงัดยามราตรีคืบคลาน บรรยากาศวังเวงราวกับไร้ผู้คน ทว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าสู่เขตรั้ว ก็มีชายผู้หนึ่งถือตะเกียงเจ้าพายุตรงเข้ามาต้อนรับ
“มาเถิดขอรับ ท่านเจ้าคุณรออยู่” บ่าวผู้นั้นกล่าว พลางยกตะเกียงส่องนำทางให้เห็นลานกรวด เสียงเม็ดกรวดกรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าชวนให้ใจข้าพเจ้าหวั่นอยู่ในที ข้าพเจ้าโน้มศีรษะลงแสดงความนอบน้อม ชายผู้นั้นมีท่าทีสุภาพแต่สีหน้าเรียบเฉย คงต้อนรับแขกตามหน้าที่
ภายในเรือนนั้นวิจิตรสมฐานะคหบดี โคมระย้าฝรั่งห้อยจากเพดานกลางโถง แสงไฟวับแวมทำให้ภาพสีน้ำมันของบรรพชนที่แขวนเรียงรายดูเคร่งขรึม พื้นกระเบื้องลายตะวันตกเย็นสลัว มีเพียงแสงตะเกียงในมือบ่าวที่ส่องให้เห็นเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักตั้งตระหง่าน
ไม่นาน ข้าพเจ้าก็ถูกพาไปยังห้องรับรองเล็ก เพื่อพบนายแม่บ้าน หญิงวัยกลางคนใบหน้าเข้ม นามว่า “คุณอิ่ม” ผู้เป็นหัวหน้าบ่าว “ยินดีต้อนรับสู่เรือนท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงเรียบ ขณะกวาดตาพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ราวประเมินว่าเด็กหนุ่มจากบ้านนอกเช่นข้าพเจ้าจะรับใช้ผู้เป็นเจ้าของจวนได้เพียงใด ข้าพเจ้าโค้งคำนับ “กระผมขอฝากตัวด้วยขอรับ”
คุณอิ่มพยักหน้ารับ ก่อนให้บ่าวอีกคนพาไปยังห้องพัก เราเดินผ่านระเบียงยาวซึ่งมีตะเกียงจุดห่างๆ แสงริบหรี่ทอดเงายาวบนพื้นไม้ ห้องพักเล็กที่จัดไว้มีเตียงไม้สักและมุ้งสีขาวสะอาด ตั้งอยู่ปีกเรือนด้านข้างที่เงียบสงัด หน้าต่างเล็กมองออกไปเห็นลานหลังบ้าน มีต้นลั่นทมยืนต้นเด่นอยู่ในความมืด
ข้าพเจ้าวางสัมภาระน้อยชิ้น ก่อนนั่งลงบนเตียงด้วยความอ่อนล้าเจือความตื่นเต้น เส้นทางชีวิตใหม่กำลังเริ่ม ณ เรือนผู้เป็นใหญ่ริมสายน้ำใหญ่ ทว่าความเงียบอ้างว้างยามค่ำก็ชวนให้หวั่นใจ คืนนั้น แม้ร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทาง ข้าพเจ้ากลับพลิกกายไปมา อึดอัดด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ได้
ใต้ผ้ามุ้งมืดสนิท ข้าพเจ้าหลับตาหวังข่มตานอน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ เสียงแผ่วคล้ายคนกระซิบดังมาจากนอกหน้าต่าง ข้าพเจ้าลืมตาขึ้น ใจเต้นระทึก เพ่งมองบานหน้าต่างที่ปิดสนิท เห็นเงากิ่งลั่นทมไหวเอนตามลมราตรี เสียงกระซิบนั้นขาดหายครู่หนึ่ง ก่อนดังขึ้นอีก คราวนี้ชัดกว่าเดิม พอจับความได้ว่า “มา…มาเถิด…” น้ำเสียงเย็นเยียบแหบพร่า ทำเอาข้าพเจ้าใจหายวาบ รีบผุดลุกขึ้นนั่ง จ้องบานหน้าต่างเขม็ง
หัวใจเต้นระส่ำ ฝ่ามือชุ่มเหงื่อเย็นเฉียบ เสียงนั้นเงียบไป ข้าพเจ้านั่งนิ่งอยู่นานราวชั่วกัปกัลป์ ในที่สุดก็ฝืนใจลุกเดินไปที่หน้าต่างอย่างช้าๆ ความกลัวงอกเงยทีละน้อย แต่ความอยากรู้อยากเห็นผลักดันให้ค่อยๆ แง้มบานออก
ลมดึกพัดวูบเข้ามาปะทะใบหน้า ขนลุกเกรียว ภายนอกเงียบสนิท มีเพียงเงาต้นลั่นทมทอดยาวบนพื้น และแนวเรือนคนใช้ลดหลั่นในความมืด สายตาข้าพเจ้ากวาดมองหาที่มาของเสียงประหลาด แต่ไม่พบสิ่งใด ข้าพเจ้าถอนใจยาว พยายามบอกตนเองว่าเสียงที่ได้ยินคงเป็นเพียงภาพฝันจากความเหนื่อยล้าและกังวล
ถึงจะปลอบใจตนเองเช่นนั้น แต่ลึกๆ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า การมาถึงเรือนของท่านเจ้าคุณครั้งนี้ อาจนำพาให้ได้พบสิ่งที่คาดไม่ถึง—บางอย่างซึ่งซ่อนอยู่ใต้ความสงบงามของเรือนริมแม่น้ำสายหลักของพระนคร…