เรื่องเล่า : โลงศพข้างบ้าน (๑)


                                                                         โลงศพข้างบ้าน (๑)
                                                                             ' มุขปาฐก '
                               เรื่องราวที่ชวนให้เล่าสู่กันฟังนี้เป็นเรื่องของเพื่อนบ้านครอบครัวหนึ่งของข้าพเจ้า  เป็นเรื่องราวที่นอกจากจะเหนือคาดคิดแล้วยังจะพาให้ตกตะลึงอยู่มิใช่น้อย หรือสำหรับหลาย ๆ คนอาจถึงขั้นสะพรึงกลัวก็เป็นได้ ที่ได้รับรู้เรื่องราวนี้ก็เนื่องด้วยข้าพเจ้าจำต้องย้ายเข้ามาอยู่ในชุมชนหลังตลาดราชพัสดุเก่า ด้วยสบโชคเซ้งแผงขายข้างตลาดได้ และที่พำนักเดิมอยู่ไกลไม่สะดวกที่จะเดินทางไปกลับทุกวัน บ้านหลังปัจจุบันนี้เป็นบ้านเช่าอยู่ท้ายตรอกหลังตลาด เป็นห้องแถวไม้เก่า ๆ ๒ ชั้นอายุร่วมสัก ๕๐ ปี เจ้าของเป็นคหบดีชาวจีน บ้านเช่าในตรอกนี้ส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ขายในตลาดจะเช่าไว้เก็บข้าวของหรือสินค้าที่เตรียมสำรองไว้ขาย ยกเว้นห้องของครอบครัวข้าพเจ้า เพื่อนบ้านข้าง ๆ ซึ่งเช่าเพื่ออยู่อาศัย และแถวปากตรอกอีก ๒ - ๓ ครอบครัวที่เช่าเปิดเป็นร้านค้า
                                  การได้เข้ามาอยู่ในตรอกแห่งนี้โดยง่ายทำให้ข้าพเจ้าอดรู้สึกแปลกใจอยู่มิใช่น้อย  และยิ่งแปลกใจมากขึ้นอีกเมื่อได้รู้ว่า บ้านหลังที่อยู่นี้คนเช่าเดิมเพิ่งย้ายออกไปทั้ง ๆ ที่เพิ่งอยู่ได้ไม่ถึงเดือน เพราะปกติบ้านเช่าบริเวณตลาดจะมีคนเช่าอยู่เต็มและแต่ละรายก็มักอยู่กันนานนม ไม่ย้ายออกกันง่าย ๆ  แต่หลังนี้เหตุใดจึงไม่เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าเองก็สุดที่จะรู้ได้ในตอนนั้น ต่อมาภายหลังจึงได้รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ซึ่งก็เป็นเหตุที่เกินกว่าจะคาดคิดถึงดังที่ได้เกริ่นไว้
                                  เรื่องราวอันน่าตกตะลึงที่ใคร่จะเล่านี้เป็นเรื่องของเพื่อนบ้านข้าง ๆ ห้องก้นตรอกซึ่งเช่าอยู่มาก่อนแล้วนี่เอง ที่เรียกว่าเพื่อนบ้านนั้นไม่เพียงเป็นหลังที่ติดกันเท่านั้น แต่บ้านของเราทั้งสองยังใช้ฝาผนังร่วมกันอีกด้วย แรกที่รู้จักเพื่อนบ้านครอบครัวนี้นั้นข้าพเจ้าก็รู้สึกได้ทันทีว่า คนในครอบครัวนี้ล้วนอัธยาศัยดีโอบอ้อมอารี โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นสตรีวัยกลางคน รูปร่างผอมบาง พูดน้อย พี่มน คือชื่อที่ข้าพเจ้าและภรรยาเรียกขาน พี่มนมีลูก ๓ คน คนโตสุดและคนสุดท้องเป็นผู้ชาย ส่วนคนกลางเป็นลูกสาว ลูกของแกทั้ง ๓ ล้วนอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ พี่มนขายของที่ตลาดราชพัสดุเก่าเช่นเดียวกับข้าพเจ้า เพียงแต่แกขายอยู่ในอาคารซึ่งเป็นส่วนของอาหารสด นอกจากจะเปี่ยมไมตรีจิตแล้ว พี่มนยังชอบทำบุญสุนทาน และชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เป็นนิจซึ่งรวมทั้งข้าพเจ้าที่แม้บางครั้งจะไม่ได้ร้องขอก็ตาม มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าประทับใจและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างมากในน้ำจิตน้ำใจของแก ครั้งนั้นข้าพเจ้าและภรรยาจำต้องไปร่วมงานศพญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ภาคอีสาน และไม่สามารถพาลูกสาวไปด้วยได้  เนื่องจากตรงกับช่วงการสอบปลายภาคพอดี  ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องฝากลูกและบ้านไว้กับแก ในวันสุดท้ายหลังเลิกสอบลูกของข้าพเจ้ายืมจักรยานเพื่อนมาฝึกหัดขี่และด้วยความไม่ชำนาญทำให้ประสบอุบัติเหตุ พี่มนทราบเข้าก็รีบไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลและยังสั่งให้ลูก ๆ ไปอยู่เป็นเพื่อนและนอนเฝ้า ทั้งเป็นภาระรับกลับบ้าน ข้าพเจ้าและภรรยาเองได้ทราบเรื่องก็เมื่อกลับมาถึงแล้ว
                                  หลังได้รู้จักกันมากขึ้นข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้ซักถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพี่มนและได้รู้ว่า ฐานะของครอบครัวนั้นก็อยู่ในขั้นลำบากและอัตคัดขัดสน เพราะแกเป็นทั้งแม่และหัวหน้าครอบครัวซึ่งต้องแบกภาระหาเลี้ยงลูกถึง ๓ คน สามีของแกเสียไปเมื่อปีที่แล้วด้วยโรคปอด ซึ่งเป็นผลจากฝุ่นผง สีและสารเคมีในโรงงานเครื่องเรือนที่ทำมาร่วม ๓๐ ปีตั้งแต่เป็นวัยรุ่น แม้ลำบากแค่ไหนแต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่าพี่มนยังโชคดีที่ลูก ๆ ล้วนเป็นเด็กเรียบร้อย ช่วยงานของแม่อย่างเต็มกำลังทั้งงานบ้านและที่แผงขายในตลาด อีกทั้งยังขยันเรียนกันทุกคน จนข้าพเจ้าและภรรยาอดที่จะกล่าวชื่นชมให้ลูกฟังไม่ได้และหมั่นบอกให้ลูกเอาเป็นเยี่ยงอย่างอยู่เสมอ
                                 เรื่องราวโดยสังเขปของพี่มน หลายคนฟังมาถึงตรงนี้แล้วอาจรู้สึกธรรมดาไม่มีอะไรสะดุดหู แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องราวในด้านลึกและแง่มุมบางอย่างที่มิได้เปิดเผยต่างหาก อีกมีความแปลกประหลาดเหนือคาดคิดยิ่ง ซึ่งข้าพเจ้าก็มาทราบภายหลังเมื่อได้อาศัยอยู่ในตรอกแห่งนี้นานขึ้น และมีโอกาสได้ซักถามจากเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ  ความจริงแล้วข้าพเจ้าก็เคยนึกสงสัยอยู่ก่อนบ้างแล้วถึงความผิดปกติบางอย่างที่สังเกตเห็นเกี่ยวกับครอบครัวพี่มน แต่ก็ไม่มีโอกาสและจังหวะได้ซักถามจากใคร เพราะวัน ๆ ข้าพเจ้าและภรรยาแทบไม่มีเวลาสนใจเรื่องราวของคนอื่นเลยนอกจากตัวเอง นอกจากจะต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน  ข้าพเจ้ายังต้องรีบไปเปิดร้านที่ตลาดส่วนภรรยาต้องเตรียมอาหารเช้า ดูแลลูก และหลังส่งลูกไปโรงเรียนแล้วก็ต้องรีบตามไปช่วยข้าพเจ้าขายของที่ตลาด กว่าเราจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว เรื่องที่ข้าพเจ้าเคยนึกสงสัยก็คือ ชาวบ้านในตรอกแทบไม่เคยมีใครแวะเวียนมาพูดคุยหรือเยี่ยมเยียนพี่มนเลย อย่างมากก็แค่ทักทายตามมารยาทเวลาเดินผ่านหรือเดินสวนกัน นอกจากนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นญาติคนไหนไปมาหาสู่พี่มนเลย ลูก ๆ แกเองก็แทบไม่เคยมีเพื่อน ๆ มาเล่นหรือเที่ยวที่บ้าน ความฉงนสงสัยอันนี้เริ่มมากระจ่างขึ้นโดยบังเอิญในวันหนึ่ง วันนั้นภรรยาของข้าพเจ้าจำต้องกลับไปบ้านตอนกลางวันเพื่อเอาใบเสร็จค่าเก็บขยะมายืนยันกับเจ้าพนักงานสุขาภิบาล เพราะเจ้าพนักงานแย้งว่าข้าพเจ้าค้างค่าเก็บขยะงวดที่แล้ว ปกติเอกสารหรือใบเสร็จต่าง ๆ ข้าพเจ้าจะไม่ทิ้งง่าย ๆ จึงมั่นใจว่าจะมีมาแสดงได้ หลังไปได้ไม่นานนักภรรยาก็ถือใบเสร็จกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ข้าพเจ้าสังเกตเห็นจึงอดถามขึ้นมิได้เพราะใบเสร็จที่ได้มาก็ถูกต้อง แต่แล้วก็แทบตกตะลึงกับเรื่องที่ได้ฟัง ภรรยาของข้าพเจ้าเล่าว่า ขณะค้นหาใบเสร็จซึ่งข้าพเจ้ามักจะเหน็บไว้ข้างฝา อารามรีบร้อนทำให้เอกสารอื่น ๆ ตกลงมา และเมื่อเธอรวบเอาบรรดาเอกสารที่หล่นกระจายเสียบเข้าไว้อย่างเดิม ปรากฏว่ากระดานไม้ตรงร่องเสียบเกิดดีดตัวออก ราวกับเคยมีใครงัดหรือง้างออกแล้วตอกตีกลับเข้าไปไม่สนิทจึงทำให้มันหลุดแยกได้โดยง่าย แต่นั่นหาใช่ปัญหา สิ่งที่เธอเห็นลอดผ่านช่องแยกนั้นต่างหากคือต้นเหตุของสีหน้าที่ไม่ปกติ ภรรยาข้าพเจ้ายืนยันว่าไม่ได้ตาฝาด เธอเห็น “โลงศพ” ตั้งอยู่ในบ้านพี่มนจริง ๆ  ในโลงยังมีผ้าปูและหมอนวางไว้  โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในบ้านและเธอสามารถดึงแผ่นไม้ให้ติดกลับอย่างเดิมได้ หลังภรรยาได้ไปเห็นในสิ่งที่เหลือคาดคิดมาทำให้ตลอดบ่ายวันนั้นเธอแทบไม่มีกะจิตกะใจขายของเลย ข้าพเจ้ากำชับภรรยาว่าอย่าได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังโดยเฉพาะลูก ตกเย็นเราตัดสินใจพาลูกไปค้างบ้านญาติห่าง ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดนักเพื่อตั้งหลัก โดยโกหกลูกว่าท่อน้ำในบ้านแตกไม่มีน้ำใช้ต้องไปพักบ้านลุงสัก  ๒ - ๓ วัน 
                                 เหตุการณ์ในวันนั้นส่วนตัวของข้าพเจ้าเองไม่ได้ปริวิตกหรือกลัวแต่ประการใด อันเป็นผลด้วยอานิสงส์จากการบวชเรียนมานานจึงทำให้มองสิ่งต่าง ๆ อย่างมีสติ  สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลานั่นคือ เหตุผลกลใดพี่มนถึงต้องเอาโลงศพไปตั้งไว้ในบ้าน ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในทันทีว่าบรรดาความสงสัยที่มีอยู่ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับครอบครัวพี่มนต้องเกี่ยวข้องกับโลงศพที่วางอยู่ในบ้านเป็นแน่แท้ ในที่สุดข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไปสอบถามเอาจากชาวบ้านและเพื่อนบ้านในตรอกเช้าวันรุ่งขึ้น และเป็นอย่างที่คาดคิดไว้ชาวบ้านในละแวกนั้นล้วนรู้กันหมดแล้ว หากทว่าแปลกที่ทุกคนกลับมีความรู้สึกและความคิดเห็นที่แตกต่างกัน  แต่ที่ข้าพเจ้าสนใจมากที่สุดคือเหตุการณ์ก่อนและหลังที่โลงศพจะมาอยู่ในบ้านหลังนี้ เพื่อนบ้านแถวปากตรอกท่านหนึ่งซึ่งอยู่มานานเล่าให้ฟังว่า โลงศพที่อยู่ในบ้านพี่มนนั้นน่าจะเป็นโลงที่ใส่ร่างของสามีแก ชาวบ้านพูดกันว่าพี่มนขอให้สัปเหร่อช่วยแอบเปลี่ยนให้ก่อนวันเผา เพราะหลังเสร็จสิ้นงานศพมีคนเห็นลูก ๆ ของแกช่วยกันแบกโลงศพเข้าไปไว้ในบ้าน  ชาวบ้านแถวนี้ไม่มีใครกล้าถามว่าพี่มนเอาโลงไปไว้ในบ้านทำไม  มีคนลือกันว่าแกเสียสติไปแล้ว  บ้างก็ลือว่าโลงนั้นแกเอาไว้ให้วิญญาณของสามีนอน  และช่างเป็นเหตุประจวบเหมาะในวันนั้นข้าพเจ้าก็บังเอิญได้พบกับผู้ที่เคยเช่าบ้านหลังเดียวกับข้าพเจ้ารายหนึ่ง แกเล่าเสริมว่าไม่ใช่แค่เห็นโลงศพแต่ยังเคยเห็นพี่มนนอนอยู่ในโลงด้วย  ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าประหลาดใจเป็นที่สุดซึ่งเพื่อนบ้านอีกท่านที่เปิดร้านขายของชำอยู่ตรงปากตรอกได้ตั้งข้อสังเกตไว้คือ หลังจากที่พี่มนเอาโลงศพมาไว้ในบ้านได้ไม่นานลูก ๆ ของแกทุกคนก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพื่อนบ้านท่านนี้ขยายความอย่างน่าสนใจว่า ที่ข้าพเจ้าเห็นลูก ๆ ของแกทั้ง ๓ คนขยันขันแข็งทำงาน ไม่เคยปล่อยให้แม่ต้องทำงานคนเดียว ทั้งยังตั้งใจเรียนหนังสือ  ประหยัดอดออม และไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น เพิ่งมาเป็นหลังจากพ่อตายไปนี่เอง แต่ก่อนไม่เอาถ่านสักคน เกียจคร้านทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียน ยิ่งลูกชายทั้ง ๒ คนนี่ชอบทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ เกกมะเหรกเกเร วัน ๆ สร้างแต่ปัญหาให้พี่มนและสามีต้องปวดหัวมิได้หยุด เมื่อก่อนใครเดินเข้าไปแถวท้ายตรอกหากไม่ได้ยินเสียงพี่มนบ่นก่นด่าลูก ๆ ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ  การที่ลูกทั้ง ๓ เปลี่ยนไปได้ปานนี้มีคนลือกันอีกว่า เด็ก ๆ กลัววิญญาณของพ่อที่ติดตามโลงมาและยังวนเวียนอยู่ในบ้านจนหัวหด อีกกลัววิญญาณพ่อจะทำโทษถ้าไม่ยอมหยุดสร้างปัญหาให้กับแม่ ก่อนเล่าจบเพื่อนบ้านท่านนี้ยังได้ทิ้งคำถามอันชวนให้สงสัยอยู่ไม่น้อยที่ว่า ทำไมลูก ๆ ของพี่มนถึงยังกล้าอยู่ น่าจะเตลิดหนีไปตั้งแต่วันแรกที่แม่สั่งให้แบกโลงศพของพ่อเข้ามาไว้ในบ้านแล้ว
                               
                                                                                      (ติดตามตอนที่ ๒ ในกระทู้ถัดไป)                         
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่