ฉนั้น นักภาวนาอย่างพวกเราต้องเห็นโทษกิเลสนะ ไม่ใช่เห็นโทษชาวบ้านนะ--ดร.สุภีร์ ทุมทอง พูดคำนี้

กระทู้สนทนา
ภาพหมายเลข 107

พระภิกษุรูปหนึ่งถามพระพุทธเจ้าว่า  
กิงวาดี ปะนะภันเต ภะคะวา สะเดวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัมมะเก สัสสะมะณัพราหมะณิยา ปะชายะ สะเดวะมะนุสสายะ นะเกนจิ โลเก
วิคัยหะ ติฎฐะติ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาค เป็นผู้มีวาทะอย่างไร
กิงวาดี เป็นผู้มีวาทะ มีความเห็นอย่างไร
จึงเป็นผู้ที่ไม่ขัดแย้ง ไม่โต้แย้ง ไม่โต้เถียงกับใครๆในโลก ก็คือ
นะ เกนจิ โลเก วิคัยหะ ติฎฐะติ.
นะครับ วิคัยหะ แปลว่า ขัดแย้ง โต้เถียง โต้แย้ง
นะ ก็เป็นคำปฏิเสธ
นะ เกนจิ โลเก วิคัยหะ ติฎฐะติ. - พระผู้มีพระภาคเป็นผู้มีวาทะอย่างไร จึงเป็นผู้ที่ ไม่ขัดแย้ง ไม่โต้แย้ง กับใครๆในโลก ดำรงอยู่ นะ
ไม่โต้แย้งกับใครๆในโลก
โลเก ในโลก
สะเทวะเก พร้อมกับเทวโลก
มาระโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดา และมนุษย์ อย่างที่หนึ่ง
พระองค์เห็นยังไง รู้อย่างไร พูดอย่างไร จึงไม่ขัดแย้งกับใครๆเลยสักคน
ส่วนพระพุทธเจ้า พูดอย่างไร เห็นอย่างไร จึงไม่ขัดแย้งกับใครๆทั้งโลก ทั้งจักรวาลเลยนะ
อันนี้ไม่ขัดแย้งกับใครๆในโลก นะ เกนจิ โลเก วิคัยหะ ติฎฐะติ.
พระองค์เห็นยังไง พูดยังไง คิดยังไง มีวาทะว่าอย่างไรนั่นเอง กิงวาที นะครับ
กิงวาที ก็คือ มีความเห็นอย่างไร พอพูดถึงความเห็นก็พูดถึงความคิดด้วย เพราะเห็นยังไง เพราะคิดยังงั้น พอคิดยังไง ก็จะพูดอย่างงั้น
แล้วแต่เราจะแปลก็แปลว่า
พระองค์เห็นอย่างไร พระองค์คิดอย่างไร พระองค์พูดยังไง จึงไม่ขัดแย้งกับใครๆในโลก พร้อมทั้งเทวโลก นะ ไม่ขัดแย้งกับใครเลย แต่ชาวโลกอาจจะขัดแย้งกับพระองค์ได้บ้างแต่พระองค์ไม่ขัดกับใครเลย พูดอย่างไงพูดพระไตรปิฎกตั้งหลายพันหน้ามีคำพูดมากมายแต่ไม่ขัดแย้งกับใคร นี่อย่างหนึ่ง
-------
ภาพหมายเลข 126

อย่างหนึ่ง อย่างที่สองก็คือ พระองค์ทำอย่างไร อยู่อย่างไร สัญญาที่เป็นอกุศลจึงไม่นอนเนื่อง สัญญานานุเสนติ นะ
กถํ  ๑-  ปน  ภนฺเต  กาเมหิ  วิสํยุตฺตํ  วิหรนฺตํ  ตํ พฺราหฺมณํ     อกถํกถึ    ฉินฺนกุกฺกุจฺจํ    ภวาภเว    วีตตณฺหํ    สญฺญา
นานุเสนฺตีติ
นานุเสนติ ก็มาจาก นะ + อนุเสนติ
อนุเสนติ ก็คือ นอนเนื่อง นอนเนื่องก็คือ เป็นกิเลสที่มีกำลังยังละไม่ได้ด้วยมรรค
นะ ก็เป็นปฏิเสธ นานุเสนติ
สัญญาในที่นี้เป็นตัวแทนของกิเลสทั้งหลายนะเพราะกิเลสทั้งหลายนั้นมีพื้นฐานมาจากสัญญา
ถ้าไม่มีสัญญาจะไม่มีกิเลส นี้คือหลักการนะ
สัญญา จะเป็นชื่อแทนของกิเลส เนื่องจากว่า เป็นพื้นฐานของกิเลสทั้งปวง ก็คือถ้าพูดแบบวิปัลลาส สัญญาที่ลึกที่สุดก็คือ สัญญาวิปัลลาส
ในที่นี้ก็กล่าวถึงพระอรหันต์นั่นเอง ไม่มีสัญญาวิปัลลาสแล้ว พอไม่มีสัญญาวิปัลลาส จิตตวิปัลลาสคือคิดผิด เป็นอกุศลก็ไม่มี ทิฏฐิวิปัลลาสก็ไม่มี ตอนนี้พวกเราก็ต้องแก้แบบย้อนกลับ
ตอนนี้พวกเราต้องแก้ทิฎฐิวิปัลลาสก่อน
อย่างคิดผิดไม่เป็นไร แต่อย่าเชื่อความคิดที่ผิดนั้น พวกเราต้องอย่างนี้ก่อน ต้องอย่าพยายามคิดถูก คิดไปก็ไม่ถูกทั้งหมดก็ อย่าไปเชื่ออันที่มันคิดผิด อย่างนี้ทำนองนี้นะ
ก็ พยายามคิดถูกก็คิดไป แต่อย่าไปคิดว่าจะทำได้นั่นเอง เพราะว่าการคิดผิดเนี่ยต้องถอนได้ด้วย องค์มัค
ต้องไปเอาสัญญาผิดออกไป นะอย่างนี้นะครับ
สัญญานานุเสนติ สัญญาย่อมไม่นอนเนื่อง ก็คือ กิเลสนั่นเอง
กิเลสไม่นอนเนื่อง คือ กิเลสไม่เกิด
แล้วก็ไม่ท่วมทับพระองค์
ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ กาม
นะ ผู้เป็นพราหมณ์
ผู้ที่ไม่มีความลังเลสงสัย
ผู้ตัดความกังวลใจเดือดร้อนใจได้แล้ว
ผู้สิ้นตัณหาในภพน้อยและภพใหญ่
นี่ก็ส่วนที่สองนะครับ ว่าพระพุทธเจ้าเห็นยังไง จึงไม่ขัดแย้งกับใครๆในโลก
แล้วพระองค์อยู่อย่างไร กิเลสจึงไม่เกิดนั่นเอง นะครับอย่างนี้
----------------
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่