มี 2 เรื่อง “อั้ม พัชราภา”ไม่ทันขาย ฟาด 77 ล้าน คนดูไลฟ์มากที่สุดในโลก เจนนี่ฟันค่าคอมฯอื้อ และถอดรหัส

คุณพระ! “อั้ม พัชราภา” มานั่งสวยๆ ไม่ทันขาย ฟาด 77 ล้าน คนดูไลฟ์ 1.2 ล้าน มากที่สุดในโลก เจนนี่ฟันค่าคอมฯ อื้อ
สร้างประวัติศาสตร์เลยทีเดียว หลังจากที่ “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” มาร่วมไลฟ์กับ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” รัชนก สุวรรณเกตุ ให้กับแบรนด์มาดามฟิน ไม่ทันครบนาที ฟาดไปแล้ว 30 ล้าน รวม 10 นาที ได้ไป 108,000 ออเดอร์ ฟาด 60 ล้าน ของหมดเกลี้ยงสต็อก โอ้มายก๊อด! ส่วนเจนนี่รับเหนาะๆ ค่าคอมฯ 5.4 ล้าน

โดยเจนนี่ยังเผยอีกว่าพี่อั้มอายุเท่าแม่หนู แต่สาวและดูเด็กมากๆ ซึ่งการไลฟ์รอบนี้ ทำเจนนี่สมทบทุนซื้อรถแอมบูแลนซ์ได้อีก 4 คัน (เจนนี่-ยิว 2 คัน มาดามฟิน 1 คัน, หน่อย ปนัญชิตา 1 คัน) ทำเอาอั้มเผยอย่างงงๆ ว่า “งงมากว่ามีอย่างนี้ด้วยเหรอ อั้มไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ขายอะไรเลย (มานั่งสวยๆ) เสียดายว่าทำไมโกดังเราไม่มีของ”

อย่างไรก็ตาม อั้มนั่งสวยๆ ช่วยแบรนด์ปนัญชิตาไลฟ์ต่อ รวมทั้งสินค้าของ เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร ยอดพุ่งฉิว จนต้องร่วมกันเคาต์ดาวน์ยอดขาย 100 ล้านไปด้วยกัน ทำทุกคนเฮหนักมาก ยิวซูฮกเรียกอั้ม พัชราภาว่า เจ้าแม่ sold out ของเมืองไทย เพราะเอาอะไรมาลงก็ขายหมดเกลี้ยง ซึ่งเจนนี่สรุปยอดขายอั้มว่าวันนี้อั้มขายได้ทั้งหมด 77 ล้านบาท ส่วนเจนนี่ก็ฟันค่าคอมฯ ไปอื้อเลยทีเดียว 
ในยุคที่สมรภูมิไลฟ์คอมเมิร์ซแข่งขันอย่างดุเดือด การสร้างยอดขายและแรงกระเพื่อมในโลกออนไลน์ให้กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ล่าสุดปรากฏการณ์ของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ที่สามารถสร้างยอดขายและยอดการรับชมอย่างถล่มทลายภายในเวลาไม่กี่วัน ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในแวดวงนักการตลาดเป็นอย่างมาก

นางสาววรินทร์ ทินประภา Chief Growth Officer บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI Group) ให้มุมมองกับปรากฎการณ์นี้ว่า นี่คือตัวอย่างของการสร้างกระแสที่สามารถเปลี่ยนเป็นรายได้และสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้อย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น

Cr. https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000098253



พลิกวิกฤตด้วย Emotional Marketing
โดยปัจจัยสำคัญที่เปรียบเสมือนการจุดพลุให้กับปรากฏการณ์นี้ คือการที่เจนนี่สามารถบริหารจัดการกระแสข่าวดราม่าส่วนตัวได้อย่างมีกลยุทธ์และเฉียบคม ด้วยการใช้ “Emotional Marketing” หรือการตลาดเชิงอารมณ์ ดึงความสนใจและความเห็นใจของผู้คนให้หันมาติดตาม ควบคู่ไปกับการใช้ทักษะและความรู้ด้านไลฟ์คอมเมิร์ซที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาต่อยอดให้กลายเป็นยอดขายที่จับต้องได้ในทันที

ซึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้นักการตลาดและเจ้าของแบรนด์ต่างให้ความสนใจ คือโมเดลการคิดค่าบริการที่เจนนี่นำเสนอ ซึ่งเป็นแพ็กเกจที่ “แฟร์เกม” อย่างมาก โดยคิดค่าบริการเพียง 50,000 บาท โดยจำกัดเพดานสูงสุดไว้ที่ 1,000 ออเดอร์ ซึ่งตัวเลขนี้ในมุมของแบรนด์ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่งสำหรับการทดลองตลาด

“เพราะหลังจากจบไลฟ์สิ่งที่แบรนด์จะได้รับและถือเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดคือ “Brand Awareness” หรือการสร้างการรับรู้แบรนด์ในระดับประเทศ และยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลดีต่ออัลกอริทึมของแพลตฟอร์มอย่าง TikTok อีกด้วย เพราะเมื่อแบรนด์เป็นที่รู้จักและมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้น การทำไลฟ์ในช่องของตัวเองครั้งถัดไปก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ขนาดเล็กอย่างร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ ที่ก่อนหน้านี้อาจไม่มีใครรู้จักและไม่รู้ว่าจะทำการตลาดอย่างไร แต่การลงทุนด้วยเงิน 50,000 บาทเพื่อเข้าร่วมไลฟ์กับเจนนี่เพียงครั้งเดียว สามารถทำให้แบรนด์กลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ชมหลายแสนคนได้ในชั่วข้ามคืน จากเดิมที่ไลฟ์ขายเองได้เพียงหลักสิบหรือหลักร้อยออเดอร์ กลายเป็นแบรนด์ที่คนทั้งประเทศได้เห็นและจดจำ

5 วันโกย 143 ล้าน
นางสาววรินทร์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่สะท้อนพลังของอีคอมเมิร์ซเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึง Added Value ที่ผู้บริโภคจะได้รับเพิ่มเติม นอกเหนือจากตัวสินค้าในราคาที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะทั้งการได้พูดคุย และได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น จึงทำให้แฟนคลับรู้สึกอยากที่จะสนับสนุนและเลือกซื้อสินค้าผ่านไลฟ์เจนนี่ มากกว่าที่จะไปซื้อสินค้าจากที่อื่น

โดยถ้าหากวิเคราะห์ถึงกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนอย่างล้นหลามนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกนหลักคือฐานแฟนคลับที่มีความภักดีสูงและมีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคในระดับแมส (Mass) เห็นได้จากตัวเลขยอดผู้เข้าชมไลฟ์ที่สูงตั้งแต่หลักแสนไปจนถึง 5-8 แสนคนในบางช่วงเวลา

ดังนั้น การที่เจนนี่สามารถปิดการขายในตะกร้าได้เป็นหลักหมื่นออเดอร์ จึงเป็นสัดส่วนที่สมเหตุสมผลและเกิดขึ้นได้จริง โดยล่าสุดหลังจากไลฟ์ขายสินค้าเพียงแค่ 5 วัน สามารถทำยอดขายสูงถึง 143 ล้านไปแล้ว ซึ่งนี่คือพลังของ Influencer ที่สามารถสร้าง Sense of Community ได้สำเร็จ

ความท้าทายที่ต้องจับตา
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสที่มาแรง ก็มีข้อควรระวังสำหรับแบรนด์ที่ต้องการจะเข้าร่วมเช่นกัน โดยประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ “ประสบการณ์หลังการขาย” เนื่องจากเจนนี่ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้จุดพลุและปิดการขาย แต่กระบวนการทั้งหมดหลังจากนั้น ตั้งแต่การจัดการคำสั่งซื้อ การจัดส่ง คุณภาพของสินค้า ไปจนถึงบริการหลังการขาย ยังคงเป็นความรับผิดชอบของแบรนด์โดยตรง

หากแบรนด์ใดไม่มีความพร้อม ไม่สามารถบริหารจัดการออเดอร์จำนวนมหาศาลและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าได้ กระแสบวกที่ได้รับมาก็อาจพลิกกลับมาสร้างผลกระทบเชิงลบต่อชื่อเสียงของแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น แบรนด์ที่ต้องการจะเกาะกระแสความสำเร็จนี้ จำเป็นต้องประเมินวัตถุประสงค์และศักยภาพของตนเองอย่างรอบด้านว่ามีความพร้อมด้าน Capacity มากน้อยเพียงใด เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนในครั้งนี้จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว และไม่กลายเป็นการทำลายชื่อเสียงที่สร้างมาในที่สุด

โดยสรุปแล้วปรากฏการณ์ไลฟ์ขายสินค้าของเจนนี่ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงไวรัลชั่วคราว แต่เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนวิวัฒนาการของการตลาดยุคใหม่ ที่อารมณ์และความสัมพันธ์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อมากกว่าที่เคย เพราะในวันที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกนับพัน การขายที่เข้าถึงใจอาจมีค่ามากกว่าการขายที่ลดราคาหนัก ซึ่งเจนนี่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพลังของคนสามารถสร้างพลังของยอดขายได้อย่างแท้จริง

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/marketing/news-1901501

  
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่