แพทย์อาวุโส อาจบอกคุณตามงานวิจัยเมื่อ
3 ทศวรรษที่แล้ว ที่ว่า กาแฟเป็นสาเหตุของมะเร็ง และในปี 1991 International Agency for Research on Cancer (IARC) ได้จัดประเภทกาแฟว่าเป็นสารที่ "อาจจะก่อมะเร็งในมนุษย์" (Possibly Carcinogenic to Humans) โดยอ้างอิงจากข้อมูลการศึกษาในสัตว์ (Rodents) และการศึกษาในมนุษย์แบบ Case-Control Studies (ศึกษาคนที่ป่วยเป็นมะเร็งเทียบกับคนที่ไม่ป่วย) ซึ่งพบความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้กับ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder Cancer)
อย่างไรก็ตาม การศึกษาแบบ Case-Control Studies นั้นถือว่ามีจุดอ่อนและมีโอกาสเกิดความลำเอียง (Bias) สูง สิ่งที่น่าเชื่อถือกว่าคือการศึกษาแบบ Prospective Study (ติดตามกลุ่มตัวอย่างไปข้างหน้า) ซึ่งเป็นการติดตามกลุ่มคนจำนวนมากที่ยังไม่เป็นมะเร็งและดื่มกาแฟในปริมาณที่แตกต่างกัน เป็นระยะเวลานานกว่า 10-30 ปี
🔆🔆🔆ผลการศึกษาใหม่เกี่ยวกับกาแฟกับมะเร็ง
ปัจจุบัน มีการศึกษาแบบ Prospective Study เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ข้อสรุปที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยรวมแล้วพบว่าการดื่มกาแฟมีความสัมพันธ์กับ ความเสี่ยงมะเร็งที่ลดลง โดยเฉลี่ยแล้วมีความเสี่ยงลดลง 18% สำหรับมะเร็งทุกชนิดรวมกัน
☕️#กาแฟทำให้ความเสี่ยงมะเร็งลดลงอย่างชัดเจน
🥩* มะเร็งตับ (Liver Cancer): ความเสี่ยงลดลงอย่างสม่ำเสมอ โดยลดลงประมาณ 15% ต่อการดื่มกาแฟหนึ่งแก้วต่อวัน และลดลงรวมกันประมาณ 50% ในกลุ่มที่ดื่มมาก (High Consumers) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่ม ประโยชน์จะเห็นผลเป็นเส้นตรง (Linear) จนถึงประมาณ 5-6 แก้วต่อวัน กลไกที่เป็นไปได้คือ กาแฟช่วยป้องกันภาวะ Insulin Resistance, การอักเสบ (Inflammation) และไขมันในตับ ทำให้ดีต่อสุขภาพตับโดยรวม (ลดความเสี่ยง Liver Fibrosis และ Cirrhosis)
🚺 * มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Cancer): มีความเสี่ยงลดลงอย่างสม่ำเสมอในกลุ่มผู้ดื่มกาแฟ โดยความเสี่ยงลดลงเป็นเส้นตรงคล้ายกับมะเร็งตับจนถึงประมาณ 5-6 แก้วต่อวัน
🧑🧑🧒มะเร็งอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มป้องกัน
🧬 * มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colorectal Cancer): พบว่าไม่มีความเชื่อมโยง หรือมีผลป้องกันเพียงเล็กน้อย กลไกที่เป็นไปได้คือ กาแฟช่วย เร่งเวลาการเคลื่อนตัวของอาหารในลำไส้ (Accelerate Transit Time) ซึ่งช่วยลดระยะเวลาที่สารก่อมะเร็งที่อาจมีอยู่ในอุจจาระจะสัมผัสกับเยื่อบุลำไส้
👨🏻🦱 * มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer): การศึกษาโดยส่วนใหญ่พบผลป้องกัน โดยมีความเสี่ยงที่จะถูกวินิจฉัย (Incidence) และอัตราการเสียชีวิตลดลงประมาณ 9-10% ในกลุ่มที่ดื่มมาก
👩🏼 * มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) เช่น Melanoma: บางการศึกษามีแนวโน้มที่จะพบผลป้องกัน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับฤทธิ์ Antioxidant (ต้านอนุมูลอิสระ) ที่สูงของสารประกอบ Polyphenols ในกาแฟ (มีการระบุว่ากาแฟเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระอันดับหนึ่งในอาหารของชาวอเมริกัน)
👩🏼* มะเร็งเต้านม (Breast Cancer): โดยรวมไม่พบผลกระทบที่สำคัญ แต่มีข้อบ่งชี้ถึงผลในการป้องกันในกลุ่มเฉพาะ เช่น สตรีวัยหลังหมดประจำเดือน กลไกที่ถูกเสนอคือ กาแฟเป็นแหล่งของ Phytoestrogens (สารคล้ายเอสโตรเจนที่มาจากพืช)
🌡️🌡️🌡️ข้อสรุปความเสี่ยงที่ไม่จริง
* ความเชื่อมโยงกับมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ: การศึกษาแบบ Prospective Studies ในปัจจุบันส่วนใหญ่ ไม่พบความเชื่อมโยง ดังกล่าวอีกต่อไป และในปี 2016 IARC ได้ทบทวนข้อมูลใหม่ทั้งหมดและ ถอด กาแฟออกจากการจัดประเภท "อาจจะก่อมะเร็ง" แล้ว
* มะเร็งปอด (Lung Cancer): การศึกษาเบื้องต้นที่เคยพบความเชื่อมโยงนั้น เมื่อปรับข้อมูลสำหรับปัจจัยด้านพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ (Smoking) และ BMI ความเชื่อมโยงกับมะเร็งปอดก็ หายไป อย่างสิ้นเชิง
* Acrylamide: แม้จะสามารถเกิดขึ้นระหว่างการคั่วเมล็ดกาแฟ แต่ระดับของสาร Acrylamide ในกาแฟนั้นมีปริมาณน้อยมากและต่ำกว่าเกณฑ์ความเสี่ยงที่น่ากังวล
ความเสี่ยงที่สำคัญที่ต้องระวัง
* กาแฟที่ร้อนจัด: เครื่องดื่มทุกชนิดที่อุณหภูมิสูงกว่า 65 องศาเซลเซียส อาจเพิ่มความเสี่ยงของ มะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal Cancer) และอาจรวมถึงมะเร็งในช่องปาก (Oral Cancer) ด้วย ซึ่งเกิดจากความเสียหายของเซลล์ในเนื้อเยื่อที่โดนความร้อนสูงโดยตรง ดังนั้นควรปล่อยให้กาแฟเย็นลงก่อนดื่ม
* การตั้งครรภ์: ในระหว่างตั้งครรภ์ การดื่มกาแฟอาจมีความเชื่อมโยงกับภาวะ น้ำหนักแรกเกิดต่ำ (Low Birth Weight) และ การคลอดก่อนกำหนด (Pre-term Birth) จึงแนะนำให้ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงนี้
🩸ข้อควรระวังของกาแฟสำหรับมนุษย์ 70% โดยเฉพาะวัย 45 ขึ้นไป คือ #คาเฟอีน ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกแบบคั่วอ่อน หรือ decaf เพราะคาเฟอีนอาจจะรบกวนการนอน สำหรับคนทั่วไปผมจึงแนะนำให้ดื่มวันละแก้ว ก่อนบ่าย 3
ผมสรุปเรียบเรียง จากงานวิจัยล่าสุด ไม่ได้มโนขึ้นเองนะครับ
ลอย ชุนพงษ์ทอง 11 ตุลาคม 2025
CR
https://www.facebook.com/share/1AR36Fja9Q/?mibextid=wwXIfr
☕️กาแฟ กับ สาเหตุ ของการเกิดมะเร็ง! (งานวิจัยใหม่)
3 ทศวรรษที่แล้ว ที่ว่า กาแฟเป็นสาเหตุของมะเร็ง และในปี 1991 International Agency for Research on Cancer (IARC) ได้จัดประเภทกาแฟว่าเป็นสารที่ "อาจจะก่อมะเร็งในมนุษย์" (Possibly Carcinogenic to Humans) โดยอ้างอิงจากข้อมูลการศึกษาในสัตว์ (Rodents) และการศึกษาในมนุษย์แบบ Case-Control Studies (ศึกษาคนที่ป่วยเป็นมะเร็งเทียบกับคนที่ไม่ป่วย) ซึ่งพบความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้กับ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder Cancer)
อย่างไรก็ตาม การศึกษาแบบ Case-Control Studies นั้นถือว่ามีจุดอ่อนและมีโอกาสเกิดความลำเอียง (Bias) สูง สิ่งที่น่าเชื่อถือกว่าคือการศึกษาแบบ Prospective Study (ติดตามกลุ่มตัวอย่างไปข้างหน้า) ซึ่งเป็นการติดตามกลุ่มคนจำนวนมากที่ยังไม่เป็นมะเร็งและดื่มกาแฟในปริมาณที่แตกต่างกัน เป็นระยะเวลานานกว่า 10-30 ปี
🔆🔆🔆ผลการศึกษาใหม่เกี่ยวกับกาแฟกับมะเร็ง
ปัจจุบัน มีการศึกษาแบบ Prospective Study เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ข้อสรุปที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยรวมแล้วพบว่าการดื่มกาแฟมีความสัมพันธ์กับ ความเสี่ยงมะเร็งที่ลดลง โดยเฉลี่ยแล้วมีความเสี่ยงลดลง 18% สำหรับมะเร็งทุกชนิดรวมกัน
☕️#กาแฟทำให้ความเสี่ยงมะเร็งลดลงอย่างชัดเจน
🥩* มะเร็งตับ (Liver Cancer): ความเสี่ยงลดลงอย่างสม่ำเสมอ โดยลดลงประมาณ 15% ต่อการดื่มกาแฟหนึ่งแก้วต่อวัน และลดลงรวมกันประมาณ 50% ในกลุ่มที่ดื่มมาก (High Consumers) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่ม ประโยชน์จะเห็นผลเป็นเส้นตรง (Linear) จนถึงประมาณ 5-6 แก้วต่อวัน กลไกที่เป็นไปได้คือ กาแฟช่วยป้องกันภาวะ Insulin Resistance, การอักเสบ (Inflammation) และไขมันในตับ ทำให้ดีต่อสุขภาพตับโดยรวม (ลดความเสี่ยง Liver Fibrosis และ Cirrhosis)
🚺 * มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Cancer): มีความเสี่ยงลดลงอย่างสม่ำเสมอในกลุ่มผู้ดื่มกาแฟ โดยความเสี่ยงลดลงเป็นเส้นตรงคล้ายกับมะเร็งตับจนถึงประมาณ 5-6 แก้วต่อวัน
🧑🧑🧒มะเร็งอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มป้องกัน
🧬 * มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colorectal Cancer): พบว่าไม่มีความเชื่อมโยง หรือมีผลป้องกันเพียงเล็กน้อย กลไกที่เป็นไปได้คือ กาแฟช่วย เร่งเวลาการเคลื่อนตัวของอาหารในลำไส้ (Accelerate Transit Time) ซึ่งช่วยลดระยะเวลาที่สารก่อมะเร็งที่อาจมีอยู่ในอุจจาระจะสัมผัสกับเยื่อบุลำไส้
👨🏻🦱 * มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer): การศึกษาโดยส่วนใหญ่พบผลป้องกัน โดยมีความเสี่ยงที่จะถูกวินิจฉัย (Incidence) และอัตราการเสียชีวิตลดลงประมาณ 9-10% ในกลุ่มที่ดื่มมาก
👩🏼 * มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) เช่น Melanoma: บางการศึกษามีแนวโน้มที่จะพบผลป้องกัน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับฤทธิ์ Antioxidant (ต้านอนุมูลอิสระ) ที่สูงของสารประกอบ Polyphenols ในกาแฟ (มีการระบุว่ากาแฟเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระอันดับหนึ่งในอาหารของชาวอเมริกัน)
👩🏼* มะเร็งเต้านม (Breast Cancer): โดยรวมไม่พบผลกระทบที่สำคัญ แต่มีข้อบ่งชี้ถึงผลในการป้องกันในกลุ่มเฉพาะ เช่น สตรีวัยหลังหมดประจำเดือน กลไกที่ถูกเสนอคือ กาแฟเป็นแหล่งของ Phytoestrogens (สารคล้ายเอสโตรเจนที่มาจากพืช)
🌡️🌡️🌡️ข้อสรุปความเสี่ยงที่ไม่จริง
* ความเชื่อมโยงกับมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ: การศึกษาแบบ Prospective Studies ในปัจจุบันส่วนใหญ่ ไม่พบความเชื่อมโยง ดังกล่าวอีกต่อไป และในปี 2016 IARC ได้ทบทวนข้อมูลใหม่ทั้งหมดและ ถอด กาแฟออกจากการจัดประเภท "อาจจะก่อมะเร็ง" แล้ว
* มะเร็งปอด (Lung Cancer): การศึกษาเบื้องต้นที่เคยพบความเชื่อมโยงนั้น เมื่อปรับข้อมูลสำหรับปัจจัยด้านพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ (Smoking) และ BMI ความเชื่อมโยงกับมะเร็งปอดก็ หายไป อย่างสิ้นเชิง
* Acrylamide: แม้จะสามารถเกิดขึ้นระหว่างการคั่วเมล็ดกาแฟ แต่ระดับของสาร Acrylamide ในกาแฟนั้นมีปริมาณน้อยมากและต่ำกว่าเกณฑ์ความเสี่ยงที่น่ากังวล
ความเสี่ยงที่สำคัญที่ต้องระวัง
* กาแฟที่ร้อนจัด: เครื่องดื่มทุกชนิดที่อุณหภูมิสูงกว่า 65 องศาเซลเซียส อาจเพิ่มความเสี่ยงของ มะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal Cancer) และอาจรวมถึงมะเร็งในช่องปาก (Oral Cancer) ด้วย ซึ่งเกิดจากความเสียหายของเซลล์ในเนื้อเยื่อที่โดนความร้อนสูงโดยตรง ดังนั้นควรปล่อยให้กาแฟเย็นลงก่อนดื่ม
* การตั้งครรภ์: ในระหว่างตั้งครรภ์ การดื่มกาแฟอาจมีความเชื่อมโยงกับภาวะ น้ำหนักแรกเกิดต่ำ (Low Birth Weight) และ การคลอดก่อนกำหนด (Pre-term Birth) จึงแนะนำให้ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงนี้
🩸ข้อควรระวังของกาแฟสำหรับมนุษย์ 70% โดยเฉพาะวัย 45 ขึ้นไป คือ #คาเฟอีน ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกแบบคั่วอ่อน หรือ decaf เพราะคาเฟอีนอาจจะรบกวนการนอน สำหรับคนทั่วไปผมจึงแนะนำให้ดื่มวันละแก้ว ก่อนบ่าย 3
ผมสรุปเรียบเรียง จากงานวิจัยล่าสุด ไม่ได้มโนขึ้นเองนะครับ
ลอย ชุนพงษ์ทอง 11 ตุลาคม 2025
CR https://www.facebook.com/share/1AR36Fja9Q/?mibextid=wwXIfr