ครบ 30 วันพอดีที่จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกลับไปนอนภายในเรือนจำ ตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) ใน "คดีชั้น 14" ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่ามี 2 "ตัวละครใหม่" เป็นนักการเมือง และข้าราชการระดับสูง จ่อถูกไต่สวนความผิดทางอาญาเพิ่ม
นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช. ไม่ขอเปิดเผยรายชื่อของ "ตัวละครใหม่" ที่ว่า แต่บอกใบ้ว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับกรณีให้อดีตนายกฯ พักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ นานเกิน 120-180 วัน และเกี่ยวข้องกับการพักโทษ
ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งเมื่อ 9 ก.ย. ให้นายทักษิณ ชินวัตร ต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยลดโทษเมื่อ 31 ส.ค. 2566 หลังพบว่าการบังคับโทษจำคุกจำเลยรายนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผลจากคำสั่งของศาล ทำให้อดีตนายกฯ คนที่ 23 ผู้เป็นบิดาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ คนที่ 31 ต้องกลับไปมีสถานะนักโทษเด็ดขาดชาย (น.ช.) อีกครั้ง ถูกจองจำภายในเรือนจำกลางคลองเปรม
คดีนี้ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ร่วมกับอัยการสูงสุด (อสส.) โดยมีนายทักษิณเป็นจำเลย
ศาลฎีกาฯ เปิดไต่สวน "คดีชั้น 14" รวม 7 นัด เรียกพยานบุคคลจำนวน 31 ปากมาเบิกความ นายสุรพงษ์ หัวหน้าคณะผู้ว่าคดีของ ป.ป.ช. ได้นำทีมไปร่วมรับฟังในห้องพิจารณาคดีตลอดกระบวนการในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย.
ในระหว่างร่วมกิจกรรม "คุยกับโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช." วันนี้ (8 ต.ค.) นายสุรพงษ์พูดถึง "คดีประวัติศาสตร์" นี้ว่า เป็นอำนาจของศาลในการพิจารณาว่ามีการบังคับโทษโดยถูกต้อง โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนตัวไม่ได้มองเป็นเรื่องผิดปกติ คิดว่าไม่ได้แปลกอะไรมาก จากประสบการณ์ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่เราคาดการณ์ได้
"การทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏต่อสังคมโดยอำนาจศาล และเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชน ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เราอยากจะเห็น และสิ่งที่ปรากฏออกมา เป็นการทำให้กระบวนการยุติธรรม การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ" นายสุรพงษ์ให้ความเห็น
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ที่มีนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธาน มีมติเมื่อ 16 ธ.ค. 2567 รับไต่สวนความผิดข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ 12 คน กรณีเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ และให้นายทักษิณอยู่ที่ รพ.ตำรวจ จนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยจริง อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ โดยใช้กรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน
ใครคือ 12 ขรก. ที่ถูก ป.ป.ช. สอบ
ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 12 คนที่ถูก ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวน ถูกศาลฎีกาฯ ออกหมายเรียกไปให้การในฐานะพยานบุคคลของศาลใน "คดีชั้น 14" ด้วย
บีบีซีไทยขอแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์
นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ทำหน้าที่รองปลัดกระทรวงยุติธรรมในขณะเกิดเหตุ และเป็นผู้ลงนามอนุมัติให้นายทักษิณพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน
นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ทำหน้าที่รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกกรมราชทัณฑ์ในขณะเกิดเหตุ และเป็นผู้ลงนามอนุมัติให้นายทักษิณพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 30 วัน
นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในขณะเกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน และเป็นผู้ลงนามอนุมัติให้นายทักษิณพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 60 วัน
กลุ่มที่สอง ผู้บริหารและข้าราชการสังกัดเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
นายนัสที ทองประหลาด ผู้บัญชาการเรือนจำในขณะเกิดเหตุ ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว
นายสัญญา วงค์หินกอง เจ้าพนักงานราชทัณฑ์อาวุโส ทำหน้าที่พัศดีเวรประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันเกิดเหตุ 22 ส.ค. 2566
นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ทำหน้าที่พยาบาลเวรในวันเกิดเหตุ 22 ส.ค. 2566
กลุ่มที่สาม ผู้บริหารและข้าราชการสังกัดทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการในขณะเกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน
พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำ ทำหน้าที่ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับเมื่อ 22 ส.ค. 2566 และเป็น "เจ้าของใบส่งตัว" ออกไปรักษาภายนอกเรือนจำ
กลุ่มที่สี่ ผู้บริหารและข้าราชการสังกัด รพ.ตำรวจ
พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ทำหน้าที่นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจในขณะเกิดเหตุ
พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ และเป็นเจ้าของใบแสดงความเห็นแพทย์ประกอบการพิจารณากรณีพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 30 วัน และ 60 วัน
พ.ต.อ. นพ.ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ รพ.ตำรวจ ทำหน้าที่แพทย์เจ้าของไข้ และเป็นเจ้าของใบแสดงความเห็นแพทย์ประกอบการพิจารณากรณีพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน
พล.ต.ต. นพ.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ รพ.ตำรวจ รักษาราชการแทนรอง พตร. ทำหน้าที่ผู้ช่วยผ่าตัดนิ้วล็อก และเป็นเจ้าของใบแสดงความเห็นแพทย์ประกอบการพิจารณากรณีพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน
ในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ 12 คนนี้ มีแพทย์อยู่ 3 คนที่ถูกตรวจสอบและลงโทษโดยแพทยสภา ประกอบด้วย พญ.รวมทิพย์ ถูกลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือน, พล.ต.ท.โสภณรัชต์ ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นเวลา 3 เดือน, พล.ต.ท.ทวีศิลป์ ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่ง ป.ป.ช. ได้เรียกรายงานผลการตรวจของแพทยสภามาประกอบการไต่สวนด้วย
เผย "ตัวละครใหม่" โผล่ในคำสั่งศาล-คำร้องเพิ่ม ในจำนวนนี้เป็น 2 นักการเมือง
แม้แรกเริ่มเดิมที ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐเพียง 12 คน แต่เมื่อคำสั่งศาลฎีกาฯ ระบุถึงพฤติการณ์ของนายทักษิณที่เข้าไป "รับรู้-มีส่วนตัดสินใจ-ได้ประโยชน์" จากกระบวนการที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดคำถามว่า ป.ป.ช. จะขยายผลไปสอบนายทักษิณและบุคคลอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไร
นายสุรพงษ์กล่าวว่า หลังคัดคำพิพากษามาแล้ว ถือเป็นการบ้านขององค์คณะไต่สวนที่ต้องเอาข้อเท็จจริงมาถอดว่าสิ่งที่ศาลให้เหตุผลแต่ละจุดเกี่ยวกับเนื้อหาคดีใน ป.ป.ช. อย่างไร และทราบว่ามีคำร้องเพิ่มเติมเข้ามาโดยกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2 ราย และข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับการพักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ นานเกิน 120 วัน จนถึง 180 วัน และหลังวันที่ 181 ซึ่งเป็นวันพักโทษ "ตรงนี้มีตัวละครที่เกี่ยวข้องเข้ามาเพิ่มเติม"
อย่างไรก็ตามเขาไม่เปิดเผยรายชื่อของ 2 นักการเมืองที่เข้าข่ายถูกไต่สวน แต่จะเป็นการตรวจสอบ 2 กรณีควบคู่กันไปคือ ความผิดทางอาญา และความผิดตามมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเท่าที่ทราบมีการแยกสำนวนเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือข้าราชการที่ส่งตัวอดีตนายกฯ ไป รพ.ตำรวจ อีกส่วนคือกระบวนการพักโทษ
ส่วนจะมีการเพิ่มชื่อนายทักษิณในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช. หรือไม่นั้น นายสุรพงษ์อธิบายว่า อดีตนายกฯ เป็นผู้รับโทษคดีเดิม เป็นข้อกฎหมายว่าผลของคดีเดิม (3 คดีทุจริตที่ศาลสั่งจำคุก 8 ปี) ที่เป็นคดีใหม่ (คดีชั้น 14 ที่ศาลสั่งบังคับโทษจำคุก 1 ปี) อดีตนายกฯ ไม่ได้ถูกไต่สวนเดิม ไม่ใช่คนกระทำผิดในคดีนี้โดยตรง ความรับผิดทางอาญาจะไปถึงหรือไม่ เป็นเรื่ององค์คณะต้องพิจารณา
คำสั่งศาลฎีกาฯ เมื่อ 9 ก.ย. ไม่เพียงชี้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังระบุถึงพฤติการณ์บ่งชี้ให้เห็นว่า "จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน" แต่มีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ
นอกจากนั้นยังได้ความว่า "จำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์" เป็นผลให้การรักษาตัวจำเลยใน รพ.ตำรวจ ขยายระยะเวลาออกไป
"จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ มาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา" คำสั่งศาลฎีกาฯ ระบุตอนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ สื่อหลายสำนัก อาทิ ผู้จัดการ ไทยโพสต์ รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายภูเทพ ทวีโชติธนากุล รองเลขาธิการ ป.ป.ช. อีกคน ถึงการขยายไปไปตรวจสอบนายทักษิณ โดยกล่าวว่า ป.ป.ช. ต้องดูทั้งหมด เพราะเดิมการตั้งไต่สวนเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เมื่อมีประเด็นที่ศาลบอกว่านายทักษิณได้ประโยชน์จากการพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ก็ต้องมาดูว่าประโยชน์ที่ว่าใครอะไร และไปสัมพันธ์กับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่
ในการไต่สวนของ ป.ป.ช. ตั้งประเด็นไว้ว่า 1. การนำตัวนักโทษไปรักษาตัวนอกเรือนจำ มีการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนกฎหมายราชทัณฑ์และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือไม่ 2. การนำตัวนักโทษไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ มีการกระทำข้ามขั้นตอนระเบียบว่าด้วยการส่งตัวผู้ป่วยหรือไม่
นายภูเทพเห็นว่า "อยู่ในกรอบอำนาจ ป.ป.ช. ที่จะดำเนินการได้อยู่แล้ว" เพราะคำว่า ผู้ถูกกล่าวหา ของ ป.ป.ช. จะรวมถึงตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน คือเอกชน ทั้งนี้หากเอกชนมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะมีความผิดในลักษณะสนับสนุนเจ้าพนักงานในการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กำหนดว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 83-89 ระบุถึงการร่วมกระทำความผิดในฐานะ "ตัวการ" ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ส่วน "ผู้สนับสนุน" ต้องระวางโทษ 2 ใน 3 ส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
ขั้นตอนการทำงานของ ป.ป.ช. ก่อนชี้มูลความผิด
ทีมโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ยืนยันว่า ทุกคดีที่อยู่ในมือ ป.ป.ช. โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน การดำเนินการจะไม่ล่าช้า โดยใช้เวลาพิจารณาราว 10 เดือนหลังจากตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงไปจนถึงการแจ้งข้อกล่าวหา และใช้เวลา 6 เดือนหลังจากแจ้งข้อกล่าวหาไปจนถึงการชี้มูลความผิด
สำหรับขั้นตอนในการดำเนินการไต่สวนผู้เกี่ยวข้องกับ "คดีชั้น 14" หลังมีคำสั่งศาลฎีกาฯ สรุปได้ ดังนี้
สำนักงาน ป.ป.ช. ขอคัดเอกสารคำสั่งศาลฎีกาฯ ฉบับเต็มมาประกอบแนวทางการพิจารณาของ ป.ป.ช.
เทียบบันทึกถ้อยคำพยานที่ขึ้นเบิกความในชั้นศาล กับพยานที่ ป.ป.ช. เคยเรียกมาสอบปากคำว่าสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งนายสุรพงษ์ในฐานะหัวหน้าผู้ว่าคดีในศาล "คิดว่ามีข้อเท็จจริงที่ยังไม่ตรงกัน ป.ป.ช. อาจต้องดูตามแนวคำพิพากษาเป็นหลัก"
ตรวจสอบพยานหลักฐานเอกสารที่ ป.ป.ช. รวบรวมมา ตรงกับที่มีการนำไปใช้ในชั้นศาลหรือไม่
ข่าวดี้ดี 4.0 ทักษิณนอนเรือนจำครบ 30 วัน ป.ป.ช. จ่อสอบเพิ่ม 2 "ตัวละครใหม่" ใน "คดีชั้น 14" หลังไต่สวน 12 ข้าราชการ