ศาลฎีกา พิพากษากลับ สั่ง “ทักษิณ” จ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้าน จากการขายหุ้นชินคอร์ป ตามที่สรรพากรเรียกเก็บตามขั้นตอน
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่ศาลภาษีอากรกลาง ศูนย์ฯราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลยที่ 1 และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คือ นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ,นายประภาส สนั่นศิลป์ และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ เป็นจำเลยที่ 2-4 ตามลำดับ เรื่องขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ ที่แจ้งให้นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาทให้กับกรมสรรพากร
ต่อมาศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ
จากนั้น กรมสรรพากรกับพวกยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษายืนยกฟ้อง กรมสรรพากร กับพวกจึงยื่นฎีกา
ล่าสุดศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาฯ ไม่เห็นพ้อง ด้วยฎีกาของกรมสรรพากรกับพวกจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับยกคำฟ้องโจทก์ ดังนั้น จึงมีผลให้นายทักษิณ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีจำนวน 1.7 หมื่นล้าน ของกรมสรรพากรตามขั้นตอน
ข่าวดี้ดี 4.0 ศาลฎีกา พิพากษา "ทักษิณ" จ่าย 1.7 หมื่นล้าน ภาษีหุ้นชินคอร์ป
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่ศาลภาษีอากรกลาง ศูนย์ฯราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลยที่ 1 และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คือ นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ,นายประภาส สนั่นศิลป์ และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ เป็นจำเลยที่ 2-4 ตามลำดับ เรื่องขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ ที่แจ้งให้นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาทให้กับกรมสรรพากร
ต่อมาศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ
จากนั้น กรมสรรพากรกับพวกยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษายืนยกฟ้อง กรมสรรพากร กับพวกจึงยื่นฎีกา
ล่าสุดศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาฯ ไม่เห็นพ้อง ด้วยฎีกาของกรมสรรพากรกับพวกจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับยกคำฟ้องโจทก์ ดังนั้น จึงมีผลให้นายทักษิณ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีจำนวน 1.7 หมื่นล้าน ของกรมสรรพากรตามขั้นตอน