กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร ถูกประเมินและเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มเทมาเส็กในปี พ.ศ. 2549 เป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและมีการต่อสู้ทางกฎหมายมายาวนานครับ
ประเด็นหลักที่ทำให้เกิดการเรียกเก็บภาษี (ตามการประเมินของกรมสรรพากร):
การขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ และราคาซื้อ-ขายที่ผิดปกติ:
การขายหุ้นชินคอร์ปฯ ส่วนใหญ่ที่ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทั่วไปแล้วจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรจากการขายหุ้นตามกฎหมายภาษีของไทย
แต่ประเด็นปัญหาคือ หุ้นจำนวนหนึ่งถูกขายในลักษณะที่กรมสรรพากรมองว่าเป็นการโอนหุ้นแบบที่ทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี (หรือเป็นเงินได้พึงประเมิน) โดยเฉพาะหุ้นจำนวน 329.2 ล้านหุ้น ที่บุตรชายและบุตรสาว (นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา) ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิลริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วนำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท
กรมสรรพากรตีความว่า ส่วนต่างจาก "ราคาซื้อ-ราคาขาย" ที่ผิดปกตินี้ เป็น "เงินได้พึงประเมิน" ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะเป็นการได้มาซึ่งเงินได้จากการขายหุ้นที่ "ไม่ได้ขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ" โดยตรงในส่วนนี้ และมองว่าการซื้อขายดังกล่าวทำในลักษณะที่นายทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงที่แท้จริง (ใช้บุตรเป็นตัวแทนเชิด หรือเป็นผู้รับมอบผลประโยชน์)
คำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง:
แม้ว่าคดีภาษีจะแยกต่างหากจากคดียึดทรัพย์ แต่คำพิพากษาคดียึดทรัพย์สินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ของศาลฎีกาฯ ที่ระบุว่านายทักษิณเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง (Rich in Unusual Wealth Case) ได้ถูกนำมาเป็นหลักฐานประกอบการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดยตีความว่าเมื่อนายทักษิณเป็นเจ้าของที่แท้จริง ก็ควรเป็นผู้มีเงินได้และต้องเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา
ผลการต่อสู้ทางคดีภาษี (อัปเดต ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 - ตามข้อมูลปัจจุบันที่ค้นพบ):
คดีนี้มีการต่อสู้มาหลายศาล ศาลภาษีอากรกลาง และ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เคยมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของกรมสรรพากร โดยมีเหตุผลหลายประเด็น เช่น การดำเนินการของเจ้าพนักงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือตีความว่านายทักษิณไม่ใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมิน
ล่าสุด (ตามข้อมูลที่ค้นพบ) ศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลล่าง โดยเห็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้กรมสรรพากรมีอำนาจในการเรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม รวมเป็นเงินประมาณ 1.76 หมื่นล้านบาท
สรุปโดยง่าย:
การถูกเรียกเก็บภาษีไม่ได้มาจาก "การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตามปกติ" แต่มาจากส่วนของการขายหุ้นที่กรมสรรพากรและศาลฎีกา (ในการพิพากษาสุดท้าย) มองว่าเป็นการขายที่ทำขึ้นเพื่อโอนหุ้นนอกตลาดฯ ในราคาที่ถูกมาก่อน แล้วนำไปขายต่อในราคาสูง ซึ่งตีความว่าเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีในฐานะที่นายทักษิณเป็นเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง
ทักษิณขายหุ้นนอกตลาด จึงเป็นเหตุให้เสียภาษี 1.7 หมื่นล้าน ถูกต้องแล้วครับ
ประเด็นหลักที่ทำให้เกิดการเรียกเก็บภาษี (ตามการประเมินของกรมสรรพากร):
การขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ และราคาซื้อ-ขายที่ผิดปกติ:
การขายหุ้นชินคอร์ปฯ ส่วนใหญ่ที่ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทั่วไปแล้วจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรจากการขายหุ้นตามกฎหมายภาษีของไทย
แต่ประเด็นปัญหาคือ หุ้นจำนวนหนึ่งถูกขายในลักษณะที่กรมสรรพากรมองว่าเป็นการโอนหุ้นแบบที่ทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี (หรือเป็นเงินได้พึงประเมิน) โดยเฉพาะหุ้นจำนวน 329.2 ล้านหุ้น ที่บุตรชายและบุตรสาว (นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา) ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิลริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วนำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท
กรมสรรพากรตีความว่า ส่วนต่างจาก "ราคาซื้อ-ราคาขาย" ที่ผิดปกตินี้ เป็น "เงินได้พึงประเมิน" ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะเป็นการได้มาซึ่งเงินได้จากการขายหุ้นที่ "ไม่ได้ขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ" โดยตรงในส่วนนี้ และมองว่าการซื้อขายดังกล่าวทำในลักษณะที่นายทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงที่แท้จริง (ใช้บุตรเป็นตัวแทนเชิด หรือเป็นผู้รับมอบผลประโยชน์)
คำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง:
แม้ว่าคดีภาษีจะแยกต่างหากจากคดียึดทรัพย์ แต่คำพิพากษาคดียึดทรัพย์สินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ของศาลฎีกาฯ ที่ระบุว่านายทักษิณเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง (Rich in Unusual Wealth Case) ได้ถูกนำมาเป็นหลักฐานประกอบการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดยตีความว่าเมื่อนายทักษิณเป็นเจ้าของที่แท้จริง ก็ควรเป็นผู้มีเงินได้และต้องเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา
ผลการต่อสู้ทางคดีภาษี (อัปเดต ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 - ตามข้อมูลปัจจุบันที่ค้นพบ):
คดีนี้มีการต่อสู้มาหลายศาล ศาลภาษีอากรกลาง และ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เคยมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของกรมสรรพากร โดยมีเหตุผลหลายประเด็น เช่น การดำเนินการของเจ้าพนักงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือตีความว่านายทักษิณไม่ใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมิน
ล่าสุด (ตามข้อมูลที่ค้นพบ) ศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลล่าง โดยเห็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้กรมสรรพากรมีอำนาจในการเรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม รวมเป็นเงินประมาณ 1.76 หมื่นล้านบาท
สรุปโดยง่าย:
การถูกเรียกเก็บภาษีไม่ได้มาจาก "การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตามปกติ" แต่มาจากส่วนของการขายหุ้นที่กรมสรรพากรและศาลฎีกา (ในการพิพากษาสุดท้าย) มองว่าเป็นการขายที่ทำขึ้นเพื่อโอนหุ้นนอกตลาดฯ ในราคาที่ถูกมาก่อน แล้วนำไปขายต่อในราคาสูง ซึ่งตีความว่าเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีในฐานะที่นายทักษิณเป็นเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง