KEY POINTS
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของ 5 ธนาคารไทย จาก "มีเสถียรภาพ" เป็น "ลบ" โดยยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ระดับเดิม
การปรับลดครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ฟิทช์ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของรัฐบาลไทยเป็น "ลบ" ก่อนหน้านี้
ธนาคาร 5 แห่งที่ถูกปรับแนวโน้ม ได้แก่ EXIM, KTB, TTB, SCBT และ UOBT
สาเหตุหลักมาจากการลดลงของความสามารถในการสนับสนุนจากรัฐบาล และข้อจำกัดจากเพดานอันดับเครดิตของประเทศที่เชื่อมโยงกับอันดับเครดิตรัฐบาล
Fitch Ratings ได้ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term IDRs) สำหรับธนาคาร 5 แห่งในประเทศไทย จาก "แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ" เป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568
โดยยังคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวไว้ที่ระดับเดิม การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ฟิทช์ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของรัฐบาลไทยเป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" (BBB+/Negative) ก่อนหน้านี้
ธนาคารที่ถูกปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น 'ลบ'
ธนาคารที่ได้รับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" มี 5 แห่ง ได้แก่
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM)
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB)
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) (SCBT)
ธนาคารยูโอบี (ไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBT)
ธนาคารที่คงแนวโน้มอันดับเครดิต 'มีเสถียรภาพ'
ฟิทช์ยังคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวพร้อมแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพสำหรับธนาคารและบริษัทการเงินอีก 5 แห่ง ได้แก่:
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBank)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX)
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับแนวโน้มอันดับเครดิต
การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตธนาคารเกิดจากสองปัจจัยหลักที่เชื่อมโยงกับอันดับเครดิตของรัฐบาลไทย
1. การเปลี่ยนแปลงความสามารถในการสนับสนุนของรัฐบาล
การปรับ "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" ของ EXIM, KTB, และ TTB สะท้อนถึงการลดลงของความสามารถของรัฐบาลในการให้การสนับสนุนพิเศษ (extraordinary support) ในกรณีที่เกิดวิกฤต ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาอันดับเครดิตของธนาคารเหล่านี้
อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล (Government Support Rating) ของธนาคารเหล่านี้ถูกคงไว้ แต่มีโอกาสถูกปรับลดหากอันดับเครดิตสากลของประเทศไทยถูกปรับลดลง
2. ข้อจำกัดจากเพดานอันดับเครดิตประเทศ (Country Ceiling)
การปรับ "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" สำหรับ SCBT และ UOBT สะท้อนว่าอันดับเครดิตของธนาคารทั้งสองอาจถูกจำกัดโดยเพดานอันดับเครดิตของประเทศไทย หากมีการปรับลดเพดานอันดับเครดิต ก็จะส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น (Shareholder Support Rating) และนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคาร
ธนาคารที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มรัฐบาล
BBL, KBank, SCB, และ SCBX อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคารเหล่านี้พิจารณาจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating) ของแต่ละธนาคารเป็นหลัก ซึ่งฟิทช์คงไว้ที่ระดับเดิม และเชื่อว่าไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทย
BAY อันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเพดานอันดับเครดิตของประเทศ และอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งอันดับของเพดานอันดับเครดิตของประเทศไทย
ปัจจัยในอนาคตที่อาจส่งผลต่ออันดับเครดิต
ปัจจัยเชิงลบที่อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตของธนาคารกลุ่มที่ถูกปรับแนวโน้มเป็น 'ลบ' คือการปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย
ปัจจัยเชิงบวกที่อาจทำให้แนวโน้มอันดับเครดิตของ EXIM, KTB, TTB, SCBT, และ UOBT ถูกปรับกลับเป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ" คือการที่แนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยได้รับการปรับกลับมาเป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ"
ที่มา - fitchratings.com
Fitch Ratings หั่นแนวโน้ม 5 แบงก์ไทย จาก 'มีสเถียรภาพ' เป็น 'ลบ'