1. รอยแยกแห่งรุ่งอรุณ
โอ้ ฟ้าที่แย้มออกในยามเช้า — ไม่ใช่ด้วยความปลื้มปิติ
แต่ด้วยเสียงคร่ำครวญ ที่สั่นสะท้านเหนือขอบฟ้า
ดวงตะวันดิ้นรนจากพันธนาการแห่งเมฆทมิฬ
ประหนึ่งนักโทษผลักฝาเหล็กด้วยกำปั้นที่อ่อนแรง
ทุกเสี้ยวแสง คือเลือดของจักรวาล
รินหลั่งลงสู่ถนนอันว่างเปล่า
และข้าฯ ยืนอยู่ริมทาง ราวกับพยานผู้ถูกสาป
ได้ยินเสียงร้องที่ไม่มีผู้ใดสดับ
2. เงาของเสาไฟ
โอ้ เสาเหล็กผู้เฝ้าทาง — เจ้ามิใช่ประทีปนำพา
หากเป็นกองทัพแห่งความว่าง ที่หยุดกาลเวลา
แขนแยกสองข้างนั้น ชี้ไปสู่ความมืด
ดังไม้กางเขน สำหรับวิญญาณที่ไร้ผู้ไถ่บาป
เงายาวของมันทอดข้ามแผ่นดิน
เหมือนบทกวีสีดำ สลักด้วยมือแห่งความตาย
และข้าฯ ผู้เดินร่วมทาง กลับรู้สึกเป็นญาติกับศพที่ยังมิได้ฝัง
3. ความเงียบในท้องถนน
โอ้ ความเงียบ — เจ้าไม่ใช่ความสงบ
แต่คือหินหนักทับอกผู้ยังหายใจ
ไม่มีเสียงกงล้อ ไม่มีเสียงปีกนก
มีเพียงหัวใจข้าฯ เต้นระทึกเป็นกลองศพ
ทุกจังหวะ คือพิธีกรรมแห่งการสิ้นหวัง
ทุกลมหายใจ คือคำสารภาพ
ว่าข้ายังยืนอยู่ท่ามกลางโลก ที่ไม่รอข้าอีกต่อไป
4. ฟ้าที่สองใจ
โอ้ เมฆาขาวและดำ — เจ้าปะทะกันเหนือเบื้องบน
ราวกับเทพสององค์สู้กัน เพื่อสิทธิ์เหนือโลก
เส้นเขตแดนพร่าเลือน ดังบาดแผลที่มิยอมสมาน
และฟ้า — ผู้เป็นพยาน — มิได้เลือกข้าง
หากยืนเฉย ดังเทพเจ้าไร้ความเอื้ออารี
ปล่อยให้ผู้ต่ำต้อย ถูกกลืนสู่ความเงียบ
และข้าฯ รู้ดีว่า ไม่มีศาลสวรรค์ใด
จะมอบคำพิพากษาแห่งความรอดแก่ข้า
5. แสงที่แตกเป็นสอง
ดวงตะวันผู้อหังการ์ เหมือนถูกแบ่งเป็นแฝด
หนึ่งคือเปลวไฟ เผาผลาญจนบาดเนื้อ
อีกหนึ่งคือภาพลวง ที่ส่องแสงเย้าเยือน
ข้าฯ มองขึ้นไป — มิอาจตัดสินว่าดวงใดแท้
ทุกแสงคือการเย้ยหยัน
ทุกการเพ่ง คือตราบาปต่อวิญญาณอ่อนแรง
โอ้ สุริยันต์ — เจ้าไม่ใช่พร แต่คือดาบที่เสียบตา
6. ถนนไร้ปลาย
ถนนทอดไปสู่อนันต์ ดุจงูยักษ์ที่กลืนหางตนเอง
มันไม่สัญญาเสรีภาพ ไม่พาไปสู่ที่พักพิง
หากเป็นโซ่ตรวนยาวเหยียด ลากข้าไปทุกย่างก้าว
ทุกความยาว คือการบั่นทอนความหวัง
ทุกความว่าง คือเสียงหัวเราะของโชคชะตา
ดังก้องจากรอยแตกในยางมะตอย
ประหนึ่งเสียงกงล้อแห่งนรก
7. นักเดินทางเงียบงัน
ดูเถิด — ผู้ขี่จักรยาน ผู้ไร้นาม
เงาของเขาเลือนราง แต่ไม่อาจถูกลบ
เขาไม่เหลียว ไม่หยุด ไม่เอื้อนเอ่ย
เหมือนเงาผู้ลี้ภัย หลบหนีคำพิพากษา
ภาพหลังของเขา คืออนุสาวรีย์แห่งความโดดเดี่ยว
ตั้งอยู่ในสายตาข้า ดุจรูปปั้นโศกศัลย์
แม้ข้าฯ ก้าวตาม ก็ไม่อาจพบปลายทางเดียวกัน
8. สายไฟที่พันธนาการ
โอ้ เส้นลวดแห่งฟ้า — เจ้าคือโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น
ขึงขังท้องฟ้าไม่ให้ร่วงหล่น
และในเวลาเดียวกัน ผูกพันข้าไว้กับโลกหม่นหมอง
ทุกเส้นคือประกาศิตของวันเวลา
ย้ำว่า ข้าไม่อาจหลุดรอดจากคุกแห่งชีวิต
แม้ฟ้าจะเปิดกว้างเพียงใด
การมองแต่ไม่แตะต้องได้ — โหดร้ายกว่า
การมิได้เห็นเลย
9. ความสิ้นหวังที่เร้นซ่อน
โอ้ ตะวัน — เจ้าลอบซ่อนหลังม่านเมฆ
เผยเพียงเงาร่าง ไม่กล้าเปลือยใจแท้จริง
แสงนั้นไม่ใช่การโอบกอด หากเป็นเศษซาก
เป็นเพียงเงื่อนไขให้มนุษย์จำได้ว่า
ความอบอุ่นเคยมีอยู่
แต่ปัจจุบันกลายเป็นฝุ่นควัน
และความมืดจึงมีสิทธิ์กลืนกิน
เหลือเพียงร่องรอยให้ระลึก
10. เส้นขอบฟ้าที่ไม่ตอบสนอง
ที่ปลายตา — เส้นฟ้ากับดินบรรจบ
แต่ไม่มีผู้ใดรอ ไม่มีประตูเปิด
ข้าฯ ส่งคำวอนขึ้นไป
แต่ลมพัดมันหายสาบสูญ
สิ่งที่ตอบกลับคือความเงียบโบราณ
เงียบเสียยิ่งกว่าสุสานแห่งจักรวาล
โอ้ เส้นขอบฟ้า — เจ้ามิใช่คำมั่น
หากเป็นม่านหลอกหลอนผู้ยังฝัน
11. ดวงอาทิตย์ผู้เย้ยหยัน
เจ้าส่อง แต่แสงนั้นคือคมดาบ
ไม่ใช่ความรอด หากเป็นบทพิพากษา
ทุกครั้งที่ข้าเงยหน้า
คือการถวายคำสารภาพ ต่อเทพผู้ไร้เมตตา
โอ้ สุริยันต์ — เจ้าคือผู้พิพากษานิ่งเงียบ
มิได้ปลดปล่อยใคร หากเพียงตรึงไว้
ในห้องโถงของความเจ็บปวดอันนิรันดร์
12. ความทรงจำที่เดินทาง
ทุกก้าวไม่ใช่การก้าวไปข้างหน้า
หากคือการถอยกลับสู่ซากแห่งอดีต
เสียงหัวเราะที่ดับแล้ว เพลงที่สิ้นเสียง
มือที่เคยกุม บัดนี้กลายเป็นหมอก
ถนนจึงเป็นหนังสือแห่งการสูญเสีย
เขียนด้วยถ้อยคำเพียงบทเดียว
โศกนาฏกรรมที่ไม่มีวันปิดเล่ม
13. ลมเย็นแห่งการพรากลา
ลมพัดเบา แต่แฝงความโหดร้าย
ปลายนิ้วของใครบางคนที่จากไป แตะต้องข้า
นำกลิ่นดินชื้นเหมือนเสียงร่ำไห้
สอดเข้าในปอด จนหายใจด้วยความเจ็บ
ทุกลมคือคำตอกย้ำ
ว่าการพรากมิใช่สิ่งชั่วคราว
แต่เป็นพันธสัญญาอันถาวร
ที่ผูกไว้กับวิญญาณมนุษย์
14. เมฆผู้เป็นพยาน
เมฆ — ท่านมิใช่เพื่อน แต่คือผู้บันทึก
ท่านเฝ้ามองเหมือนพยานในศาล
เห็นข้าเดินไปดุจนกปีกหัก
แต่ท่านไม่ร้อง ไม่ปลอบ ไม่โอบอุ้ม
เพียงเปลี่ยนรูปร่างแล้วลอยผ่าน
ทิ้งข้าไว้กับคำพิพากษาแห่งความเงียบ
โอ้ เมฆผู้เฉยชา — ท่านคือกระจกแห่งความว่าง
15. คืนที่กำลังรุกคืบ
แม้เช้า แต่เงาคืนได้เคลื่อนมาไกล
มันเลื้อยผ่านถนนและต้นไม้
กระซิบว่า — ไม่มีผู้ใดหลีกพ้น
ไม่มีแสงใดต่อต้านได้ชั่วนิรันดร์
โอ้ คืนค่ำ — เจ้าคือผู้เก็บเกี่ยว
ทุกชีวิตเป็นเพียงผลไม้ในสวนมืด
รอการเด็ดสู่ความว่างเปล่า
และข้าฯ ยืนฟังด้วยหัวใจดุจกลองศพ
16. เศษเสี้ยวแห่งความหวังที่หลอกหลอน
บางครั้งแสงแยกเป็นริ้วอันวิจิตร
ราวสัญญาจากโลกที่มิได้มีอยู่จริง
ข้าฯ เอื้อมมือคว้า แต่สิ่งที่สัมผัสคืออากาศ
บาดแผลที่เกิดจากความว่างนั้น
ลึกกว่าแผลใด ๆ ในอดีต
โอ้ ความหวัง — เจ้าเป็นมายาหลอกหลอน
ที่บาดลึกยิ่งกว่าการไม่เคยได้สัมผัส
17. บทกวีของผู้พ่ายแพ้
ถนนสายนี้ ถูกจารึกในนัยน์ตาข้า
เสาไฟคือไม้กางเขน สายไฟคือโซ่ตรวน
ดวงตะวันสองดวง คือบาดแผลและคำสารภาพ
และข้าฯ คือนักเดินทาง ผู้ถูกบังคับให้เป็นกวี
กวีผู้ไร้ตอนจบ
แต่จำต้องจารึกทุกก้าวลงในเงามืด
เพื่อมอบให้แก่ผู้ใดก็ตาม ที่ยังมีหัวใจ
ให้รู้ว่า ครั้งหนึ่ง — ความสิ้นหวังเคยมีชีวิต
และยังคงหายใจอยู่ในถ้อยคำนี้...
บทกวีแห่งถนนอับแสง