โคลงของแม่หญิงจันทร์วาด
ตะวันลับเหลี่ยมเจ้า เจียมจันทร์
แสงบ่เรืองกระสัน สู่ฟ้า
เมฆลอยบังพลัน สุดส่อง
คิดจึ่งเจียมตัวข้า ต่ำต้อยเทียมดิน
(หมายเหตุของอิฉัน : นึกถึงโคลงของท่านกวีศรีปราชญ์ แสบ ๆ คัน ๆ หัวไว ปาก(กา)ก็ไวอย่างนี้สิเล่าถึงเกิดเรื่อง โคลงนี้โต้ตอบ โคลงที่ขึ้นต้นว่า หะหายกระต่ายเต้น ชมจันทร์ )
.. หะหายกระต่ายเต้น ชมแข
สูงส่งสุดตาแล สู่ฟ้า
ระดูฤดีแด สัตว์สู่ กันนา.
อย่าว่าเราเจ้าข้า อยู่พื้นเดียวกัน
โคลงพ่อเดช
ตะวันลับเหลี่ยมเจ้า. เมฆบัง
นกส่งเสียงยังรัง. แซ่ซ้อง
จันทร์ฤาแลหลัง. ถึงเมฆ
ดาวจึ่งเจียมจิตป้อง ไป่สู้เทียมจันทร์
กลอนหกของแม่หญิงการะเกด (กนกนคร พระนิพนธ์ น.ม.ส.)
หาแถงแง่ฟ้าหาง่าย เบื่อหน่ายบงนักพักตร์ผิน
หาเดือนเพื่อนเถินเดินดิน คือนิลนัยนาหาดาย
เพ็ญเดือนเพื่อนดินสิ้นหา เพ็ญเดือนเลื่อนฟ้าหาง่าย
เดือนเดินแดนดินนิลพราย เดือนฉายเวหาสปราศนิล
(หมายเหตุจากอิฉันเอง : กลอนหกนี้จากเรื่องกนกเรขา เป็นตอนที่อมรสิงห์(พระเอก)ตามหานางกนกเรขา(นางเอก) โดยเปรียบว่าจะใครเหมือนนางกนกเรขาเป็นไม่มี นิลนัยนา หมายถึง นางกนกเรขานั่นเอง เพราะดวงตาของนางนั้นเป็นสีดำดุจศอพระศิวะ)
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ (แนวท่านสุนทรภู่ นะฮะ) ขอประชันกลอน(กาพย์)ใส่ท่านหมื่นบ้าง ตอนแรกยังยิ้มหวานให้แม่หญิงอยู่เลย อยู่ ๆ ฟังกลอนหกเกิดเคลิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชิส์
๏ ยลยินโคลงกลอน
เท้าแขนอรชร ทุกตอนถ้อยคำ
ส่งเสียงเจรจา พาใจให้พร่ำ
เก็บกลืนคืนคำ เก็บงำกับตัว
๏ กลอนหกกล่าวขาน
เฉียบคมกังวาล ผ่านแสงสลัว
ออเจ้าเป็นใคร ลืมแล้วเกลียดกลัว
ทึ้งม่านหมอกมัว ยิ้มยั่วหยอกเอิน
๏ คมเนตรดำขลับ
ชายตาวิบวับ ค้อนขวับไม่เขิน
แก่นแก้วเก่งกล้า พาใจเพลิดเพลิน
ช่างดูเจริญ เพลินตาเพลินใจ
๏ แลสบสายตา
พอใจหนักหนา เคยว่าอย่างไร
ลืมจนหมดสิ้น เล่นลิ้นว่าไว้
รังเกียจเท่าใด ไม่เคยชายตา
๏ ลิ้นลมข่มคำ
ที่เคยเก็บงำ ทำฝืนหนักหนา
ร้ายว่าคมมีด คือนิลนัยนา
ออเจ้าชายตา ใครหนาขาดใจ
ป.ล. เพิ่งดูฉากประชันโคลง นี่ถ้าว่างกว่านี้ อิฉันลงสนามด้วยแน่เจ้าค่ะ แฮ่
บุพเพสันนิวาส ใน กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ : ประชันกวี
ตะวันลับเหลี่ยมเจ้า เจียมจันทร์
แสงบ่เรืองกระสัน สู่ฟ้า
เมฆลอยบังพลัน สุดส่อง
คิดจึ่งเจียมตัวข้า ต่ำต้อยเทียมดิน
(หมายเหตุของอิฉัน : นึกถึงโคลงของท่านกวีศรีปราชญ์ แสบ ๆ คัน ๆ หัวไว ปาก(กา)ก็ไวอย่างนี้สิเล่าถึงเกิดเรื่อง โคลงนี้โต้ตอบ โคลงที่ขึ้นต้นว่า หะหายกระต่ายเต้น ชมจันทร์ )
.. หะหายกระต่ายเต้น ชมแข
สูงส่งสุดตาแล สู่ฟ้า
ระดูฤดีแด สัตว์สู่ กันนา.
อย่าว่าเราเจ้าข้า อยู่พื้นเดียวกัน
โคลงพ่อเดช
ตะวันลับเหลี่ยมเจ้า. เมฆบัง
นกส่งเสียงยังรัง. แซ่ซ้อง
จันทร์ฤาแลหลัง. ถึงเมฆ
ดาวจึ่งเจียมจิตป้อง ไป่สู้เทียมจันทร์
กลอนหกของแม่หญิงการะเกด (กนกนคร พระนิพนธ์ น.ม.ส.)
หาแถงแง่ฟ้าหาง่าย เบื่อหน่ายบงนักพักตร์ผิน
หาเดือนเพื่อนเถินเดินดิน คือนิลนัยนาหาดาย
เพ็ญเดือนเพื่อนดินสิ้นหา เพ็ญเดือนเลื่อนฟ้าหาง่าย
เดือนเดินแดนดินนิลพราย เดือนฉายเวหาสปราศนิล
(หมายเหตุจากอิฉันเอง : กลอนหกนี้จากเรื่องกนกเรขา เป็นตอนที่อมรสิงห์(พระเอก)ตามหานางกนกเรขา(นางเอก) โดยเปรียบว่าจะใครเหมือนนางกนกเรขาเป็นไม่มี นิลนัยนา หมายถึง นางกนกเรขานั่นเอง เพราะดวงตาของนางนั้นเป็นสีดำดุจศอพระศิวะ)
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ (แนวท่านสุนทรภู่ นะฮะ) ขอประชันกลอน(กาพย์)ใส่ท่านหมื่นบ้าง ตอนแรกยังยิ้มหวานให้แม่หญิงอยู่เลย อยู่ ๆ ฟังกลอนหกเกิดเคลิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชิส์
๏ ยลยินโคลงกลอน
เท้าแขนอรชร ทุกตอนถ้อยคำ
ส่งเสียงเจรจา พาใจให้พร่ำ
เก็บกลืนคืนคำ เก็บงำกับตัว
๏ กลอนหกกล่าวขาน
เฉียบคมกังวาล ผ่านแสงสลัว
ออเจ้าเป็นใคร ลืมแล้วเกลียดกลัว
ทึ้งม่านหมอกมัว ยิ้มยั่วหยอกเอิน
๏ คมเนตรดำขลับ
ชายตาวิบวับ ค้อนขวับไม่เขิน
แก่นแก้วเก่งกล้า พาใจเพลิดเพลิน
ช่างดูเจริญ เพลินตาเพลินใจ
๏ แลสบสายตา
พอใจหนักหนา เคยว่าอย่างไร
ลืมจนหมดสิ้น เล่นลิ้นว่าไว้
รังเกียจเท่าใด ไม่เคยชายตา
๏ ลิ้นลมข่มคำ
ที่เคยเก็บงำ ทำฝืนหนักหนา
ร้ายว่าคมมีด คือนิลนัยนา
ออเจ้าชายตา ใครหนาขาดใจ
ป.ล. เพิ่งดูฉากประชันโคลง นี่ถ้าว่างกว่านี้ อิฉันลงสนามด้วยแน่เจ้าค่ะ แฮ่