BR bangkok readers บางกอกรีดเดอร์ส นิตยสารนำสมัยในยุค 70's ..... ตอนที่ ๔

ตอนที่ ๑.   https://pantip.com/topic/43752877/
ตอนที่ ๒.   https://pantip.com/topic/43753306/
ตอนที่ ๓.   https://pantip.com/topic/43754953/

   คอลัมน์ "โลกรถยนต์" ควบคุมโดย ทวี ลำดับวงศ์ สำหรับท่านนี้หาประวัติไม่พบ  รถยนต์ในยุคนั้นถือเป็นของฟุ่มเฟือย บ้านไหนมีรถยนต์แสดงว่ามีฐานะ คอลัมน์รถยนต์นี้ชาวบ้านร้านตลาดอ่านไปก็งั้นๆ เพราะไม่มีปัญญาซื้อหา





     ในบางฉบับนำเสนอรถยนต์สปอร์ตหรูซึ่งมีไม่กี่คันในเมืองไทย แต่มีอยู่ฉบับหนึ่งที่เสนอรถยนต์ตลาดทั่วไปที่ผู้มีอันจะกินพอซื้อหามาใช้ได้ และบอกราคารถยนต์ 100 ซีซี ถึง 1300 ซีซี อันเป็นขนาดที่นิยม





- ฮิลล์แมน อะเวนเจอร์ ราคาคันละ ๙๐,๐๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๒,๐๒๕,๐๐๐ บาท)
- ฟอร์ด เอสคอร์ต ราคาคันละ ๗๑,๐๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๕๙๗,๕๐๐ บาท) ถึง ๘๒,๐๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๘๔๕,๐๐๐ บาท)
- สโกด้า เอ็ส 100 ราคาคันละ ๖๔,๕๐๐ บาท (* ๒๒.๕ =๑,๔๕๑,๒๕๐ บาท)
- ออสตินและมอริส 1100 ซีซี ราคาคันละ ๘๕,๐๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๙๑๒,๕๐๐ บาท) 1300 ซีซี ราคาคันละ ๘๗,๐๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๙๕๗,๕๐๐ บาท)
- ดัทสัน เชอร์รี่ 100 เอ ราคาคันละ ๖๙,๕๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๕๖๓,๗๕๐ บาท)
- โตโยต้า โคโรลล่า 1200 ราคาคันละ ๘๔,๐๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๘๙๐,๐๐๐ บาท)
- ดัทสัน ซันนี่ 1200 เก๋ง 2 ประตู ราคาคันละ ๗๑,๕๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๖๐๘,๗๕๐ บาท)

      จะเห็นว่าราคารถยนต์เล็กในสมัยนั้น เมื่อเทียบค่าเงินแล้วจะแพงกว่าในสมัยนี้มาก สาเหตุก็คือรถยนต์ทั้งหมดนี้นำเข้ามาทั้งคัน ประกอบจากประเทศผู้ผลิต นั่นหมายความว่ารถอังกฤษก็มาจากอังกฤษ รถญี่ปุ่นก็มาจากญี่ปุ่น ส่วนรถยนต์ที่ประกอบภายในประเทศในเวลานั้นมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น

ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงปี 2516-2517
- น้ำมันเบนซิน ขยับจาก ๒.๓๐ บาท/ลิตร   (* ๒๒.๕ = ๕๑.๗๕ บาท) ขึ้นเป็น ๓.๖๒บาท/ลิตร (* ๒๒.๕ = ๘๑.๔๕ บาท)
- น้ำมันดีเซลจาก ๑.๐๕ บาท (* ๒๒.๕ = ๒๓.๖๒๕)  เป็น ๒.๓๓ บาท/ลิตร (* ๒๒.๕ = ๕๒.๔๒๕ บาท)

วิกฤติน้ำมันแพงในประเทศไทย ครั้งที่ ๑ ช่วงปี ๒๕๑๖ - ๒๕๒๔
    ในช่วงปี ๒๕๑๖ - ๒๕๒๔  เกิดสงครามระหว่างกลุ่มประเทศอาหรับและอิสราเอล ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นราว ๔ เท่าตัว มีประเด็นความขัดแย้งเรื่องปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศในกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกที่ไม่ลงตัว ส่งผลให้ท้ายสุดโอเปกปรับราคาน้ำมันขึ้นถึง ๑๔ % และแน่นอนว่า เดือดร้อนมาถึงประเทศที่นำเข้าน้ำมันอย่าง ไทย

   ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๖ ในยุครัฐบาล "จอมพล ถนอม กิตติขจร" หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาความขัดแย้งต่างๆ บวกกับเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกเริ่มขยายตัว ความต้องการใช้น้ำมันมีมากขึ้น  น้ำมันตลาดโลกที่ขึ้นสูงทำให้สุดท้ายรัฐบาลต้องยอมให้ราคาน้ำมันขยับขึ้น โดยหากดู ราคาน้ำมันจากพุทธศักราช ๒๕๑๖ ถึง ๒๕๑๗ ราคาน้ำมันเบนซิน ขยับจาก ๒.๓๐ บาท/ลิตร ขึ้นมาเป็น ๓.๖๒ บาท/ลิตร เท่ากับปรับขึ้นมาราว ๕๗% ส่วนน้ำมันดีเซลปรับขึ้นจาก ๑.๐๕ บาท เป็น ๒.๓๓ บาท/ลิตร หรื่อเท่ากับขึ้นมา  ๑๒๒% 


   ท่านที่ตกใจเวลาราคาน้ำมันในปัจจุบันขึ้นราคา โปรดทราบว่าคนในอดีตยุค 70's นั้นตกใจเสียยิ่งกว่า เมื่อราคาน้ำมันทะยานขึ้นชนิดขนลุก และในช่วงปีนั้นไทยเรายังไม่มีความมั่นคงด้านพลังงาน เรายังไม่มี ป.ต.ท   ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้ตั้งองค์การเชื้อเพลิง เป็นรัฐวิสาหกิจ โดยใช้สัญลักษณ์ ๓ ทหาร เพื่อดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน จัดหา และกลั่นน้ำมัน ปั๊มสามทหารจึงเป็นที่พึ่งของคนไทย  ส่วนของต่างประเทศมี เชลล์ เอสโซ่ คาลเทกซ์ และ ซัมมิท

  อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน
- ฮิลล์แมน อะเวนเจอร์ - ๘.๒ ลิตร / ๑๐๐ กิโลเมตร (๑๒.๑๙ กิโลเมตร / ลิตร)
- ฟอร์ด เอสคอร์ต 1100 - ๘.๕ ลิตร / ลิตร / ๑๐๐ กิโลเมตร (๑๑.๗๖ กิโลเมตร / ลิตร)
- สโกด้า เอ็ส 100 - ๗.๖ ลิตร / ๑๐๐ กิโลเมตร (๑๓.๑๕ กิโลเมตร / ลิตร)
- ออสตินและมอริส 1100 ซีซี - ๘.๒ ลิตร / ๑๐๐ กิโลเมตร (๑๒.๑๙ กิโลเมตร / ลิตร)
- ดัทสัน เชอร์รี่ 100 เอ - ๘.๑ ลิตร / ๑๐๐ กิโลเมตร (๑๒.๓๔ กิโลเมตร / ลิตร)
- โตโยต้า โคโรลล่า 1200 - ๘ ลิตร / ๑๐๐ กิโลเมตร (๑๒.๕ กิโลเมตร / ลิตร)
- ดัทสัน ซันนี่ 1200 เก๋ง 2 ประตู - ๘.๑ ลิตร / ๑๐๐ กิโลเมตร (๑๒.๓๔ กิโลเมตร / ลิตร)
   จะเห็นว่ารถยนต์ในยุคนั้น กินน้ำมัน มากกว่าสมัยนี้ เป็นเพราะระบบเครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบคาบูเรเตอร์ ยังไม่ได้ใช้ระบบหัวฉีด และยังไม่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการจ่ายน้ำมัน อีกทั้งยังใช้ระบบโอวเอร์เฮดวาล์วเป็นส่วนใหญ่ ระบบโอเวอร์เฮดแคมชาร์ปยังไม่แพร่หลาย



คอลัมน์ งานอดิเรก ฉบับนี้นำเสนอวิธีป้องกันการขโมยรถยนต์
       รถยนต์เป็นอะไรที่ถูกขโมยบ่อยมากในบ้านเรา รถยนต์ที่ขายโดยทั่วไปในยุคนั้นก็ไม่มีอุปกรณ์กันขโมยติดมาด้วย นอกจากล็อคประตูและกุญแจเท่านั้น กลเม็ดในการป้องกันรถยนต์หายจึงมีมาก หลายวิธียังคงใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน


โฆษณารถยนต์ในยุคนั้น

**********************************************************************************************************

          คอลัมน์สำหรับสตรี "Shopping Guide" ควบคุมโดย แพทซี่ หรือ พัฒศรี วงศ์สงวน ภรรยาของผู้ก่อตั้งหนังสือบีอาร์ ซึ่งประวัติของท่านได้ลงไว้ในตอนแรกของบทความนี้แล้ว สินค้าใน "Shopping Guide" จะเป็นสินค้าจำพวก gift ของขวัญ ของสวยงาม ตามแบบสังคมหรูหรา หากดูราคาสินค้าแล้วเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน จะเห็นภาพสังคมหรูหราไฮโซในยุค 70's ได้ชัดขึ้น


1. เข็มขัดประดับหินสี ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายของสตรี ราคาขายในราชดำริอาเขต ราคาเส้นละ ๖๕๐ - ๗๕๐ บาท (๖๕๐ * ๒๒.๕ = ๑๔,๖๒๕ บาท  ๗๕๐ * ๒๒.๕ = ๑๖,๘๕๐ บาท)
2. เครื่องประดับ ร้านรูบี้แอนด์แซม ห่วงคอแผงล่าง ๑๗๕ บาท (* ๒๒.๕ = ๓,๙๓๗.๕๐ บาท) แผงบน ๙๕ บาท (* ๒๒.๕ = ๒,๑๓๗ บาท) ต่างหูคู่ละ ๗๕ บาท (* ๒๒.๕ =๑,๖๘๗.๕๐ บาท) สร้อยข้อมือ ๑๗๕ บาท (* ๒๒.๕ = ๓,๙๓๗ บาท)
   ร้านรูบี้แอนด์แซมนี้ เปิดกิจการมาและมีชื่อเสียงจากการขายอาหารลดความอ้วน โดยนำเข้ามาจากต่างประเทศ ผู้มีอันจะกินและกินเข้าไปจนอ้วน จึงนิยมไปซื้อหาอาหารลดความอ้วนที่ร้านนี้มากินกัน ซึ่งสุดท้ายอาหารลดความอ้วนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะกลับกลายเป็นเพิ่มปริมาณอาหารให้มากขึ้นไปอีก เนื่องจากไม่ยอมหยุดกินตามใจปากเหมือนเดิม แต่มันเป็นแฟชั่นโก้เก๋มากในยุคนั้น ที่จะต้องคุยกันว่าลดความอ้วนด้วยการกินอาหารจาก รูบี้แอนด์แซม
3. ขวดเหล้าและแก้ว ชุดละ ๓๕๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๗,๘๗๕ บาท)
4. แผงขอเกี่ยว ๑๑๐ - ๑๓๕ บาท (๑๑๐ * ๒๒.๕ = ๒,๔๗๕ บาท) (๑๓๕ * ๒๒.๕ = ๓,๐๓๗.๕๐ บาท)
5. กล่องใส่เครื่องประดับ ๓๕ - ๔๕ บาท (๓๕ * ๒๒.๕ = ๗๘๗.๕๐บาท) (๔๕ * ๒๒.๕ = ๑,๐๑๒.๕๐ บาท)
6. กุ๊กไก่สารพัดสี ๕๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๑๒๕ บาท)


7. เทปติดเสื้อ หลาละ ๓๐ - ๘๐ บาท (๓๐ * ๒๒.๕ = ๖๗๕ บาท) (๘๐ * ๒๒.๕ = ๑,๘๐๐ บาท)
8. คาร์เมน สกินแมชิน ๓๒๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๗,๒๐๐ บาท)
9. สิ่งประดิษฐด้วยกาบมะพร้าว ร้านนารายณ์ภัณฑ์ ๑๙๕ บาท  (* ๒๒.๕ = ๔,๓๘๗.๕๐ บาท) บริษัท นารายณ์ภัณฑ์ จำกัด เป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมไทย ในยุคนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐
10. วิทยุแบบ 3 แบนด์ ราคา ๒,๓๔๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๕๒,๖๕๐ บาท)
11. วิทยุขนาดเล็ก ๒,๒๐๐ บาท (* ๒๒.๕ =  ๔๙,๕๐๐ บาท)
12. กางเกงรัดหน้าท้องสตรีตัวละ ๓๕ บาท (* ๒๒.๕ = ๗๘๗.๕๐ บาท)


1. เชิงเทียน ๑๒๐ (* ๒๒.๕ =  ๒,๗๐๐ บาท)
2. เครื่องแต่งบ้าน ๑,๐๕๐ (* ๒๒.๕ = ๒๓,๖๒๕ บาท)
3. เปลตาข่าย ๔๕๐ บาท (* ๒๒.๕ =  ๑๐,๑๒๕ บาท)
4. นาฬิกาปลุก ๗๐๐ (* ๒๒.๕ = ๑๕,๗๕๐ บาท)
5. กระเป๋าสะพาย ๖๐ - ๑๒๐ บาท (๖๐ * ๒๒.๕ =  ๑,๓๕๐ บาท) (๑๒๐ * ๒๒.๕ =  ๒,๗๐๐ บาท)
6. เครื่องประดับเท้า ๑๓๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๒,๙๒๕ บาท)


7. แจกันแก้ว ๓๒๐ - ๓๕๐ (๓๒๐ * ๒๒.๕ =  ๗,๒๐๐บาท) (๓๕๐ * ๒๒.๕ = ๗,๘๗๕ บาท)
8. นกฮูก ๒๘๐ และ ๓๕๐ บาท (๒๘๐ * ๒๒.๕ = ๖,๓๐๐ บาท) (๓๕๐ * ๒๒.๕ = ๗,๘๗๕ บาท)
9. ไม่บอกราคา
10. ตุ๊กตาแขวนหน้ารถ ๒๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๔๕๐ บาท)
11. เสื้อคลุมท้อง ๑๗๕ บาท (* ๒๒.๕ = ๓,๙๓๗.๕๐ บาท)
12. ตะกร้าจ่ายตลาด ๑๒๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๒,๗๐๐ บาท)
13. สายลูกปัดพลาสติก ๑๓ บาท (* ๒๒.๕ = ๒๙๒.๕๐ บาท)


- แชมพูสเปร์ย "พิสสส์ท" ของแครอล กระป๋องละ ๖๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๓๕๐ บาท)
- ถ้วยแก้วเจียรนัย ๓๕๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๗,๘๗๕ บาท)  และ ๕๕๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑๒,๓๗๕ บาท)
- เกมส์ต่างๆ ๔๙ บาท (* ๒๒.๕ = ๑,๑๐๒.๕๐ บาท)
- เก้าอี้ใยแก้ว สำหรับสระว่ายน้ำลอยน้ำได้ด้วยตัวละ ๑,๘๕๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๔๑,๖๒๕ บาท)



โฆษณาร central department store
- ไฟแช็คของดันฮิล ซึ่งเป็นสินค้าหรูสุดขีดสำหรับบุรุษหรือสตรีที่สูบบุหรี่ ใครควักไฟแช็คยี่ห้อนี้ขึ้นมาจุดบุหรี่ ก็สะกดสายตาคนรอบข้างให้มองอย่างอิจฉา และแสดงฐานะได้อย่างดีเยี่ยม คล้ายๆสมาร์ทโฟนราคาแพงในยุคนี้ ไฟแช็คดันฮิลมีตั้งแต่ราคา ๙๙๐ (* ๒๒.๕ = ๒๒,๒๗๕ บาท) ถึง ๔,๕๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑๐๑,๒๕๐ บาท) ไฟแช็คอันละสองหมื่นถึงแสนกว่าบาท ต้องเศรษฐีเท่านั้นถึงจะมีได้

- กระเป๋าราตรี ๗๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๑๕,๗๕๐ บาท)  - ๑,๕๐๐ บาท (* ๒๒.๕ = ๓๓,๗๕๐ บาท)

(จบตอนที่ ๔.)  ยังมีต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่