ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2568 หนี้ครัวเรือนไทยสูงสุดรอบ 4 ปี เฉลี่ยครัวเรือนละ 7.4 แสน ขณะที่หนี้นอกระบบพุ่งแตะ 35%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากผลสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2568 ไทยมีหนี้สูงขึ้น และประเทศไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนมา 10 ปีแล้ว มีสัดส่วนสูงกว่า 80% ของจีดีพี โดยปี 2567 ไทยมีภาระหนี้ครัวเรือนราว 6 แสนบาท/ครัวเรือน แต่ปีนี้เพิ่มเป็น 7.4 แสนบาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้นถึง 22% ถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี สาเหตุหลักเกิดจากเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น และสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ
ขณะที่หนี้นอกระบบก็พุ่งสูงขึ้น เพราะสินเชื่อในระบบตึงตัว แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ทำให้สินเชื่อติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาสแล้ว หลังจากนี้ ต้องจับตามอง NPL เป็นพิเศษ เพราะมีเอ็นพีแอลที่อยู่กลุ่มต้องจับตามมองพิเศษ 6% ขณะที่เอ็นพีแอลในกลุ่มที่ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองอยู่ที่ 4% ทำให้คนผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนเกิดจากเศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งกระตุ้นจีดีพีโดยเร็ว เริ่มจากมาตรการคนละครึ่ง เชื่อว่าหากรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินคนละครึ่งวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท จะทำให้จีดีพีปีนี้โตได้ถึง 2% จะดึงให้หนี้ครัวเรือนลดลง และหากรัฐกระตุ้นต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจปีหนี้โตได้ 3-4% จะทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงต่ำกว่า 80% ได้ภายใน 3 ปี
นอกจากนี้ รัฐจะต้องเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าว ต้องเร่งหาตลาด รวมทั้งเร่งหาสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี หามาตรการทำให้สินเชื่อกลับมาเป็นบวกให้ได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
ผลสำรวจหนี้ครัวเรือนไทย
นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2568 ว่าครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ 30.9% มีรายเฉลี่ย 50,001-100,000 บาท/เดือน โดยส่วนใหญ่ 46.3% ไม่เคยเก็บออมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ส่วนกลุ่มคนที่มีการเก็บออมพบว่ามีการเก็บออมลดลง... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/economy/news-1890709
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสถานะทางการเงินของครัวเรือนปีนี้กับปีก่อน ส่วนใหญ่ 44.5% มีสถานะเหมือนเดิม, 28.4% แย่ลง, 20.7% แย่ลงมาก, 5.2% ดีขึ้น และ 1.2% ดีขึ้นมาก ด้านสถานะรายได้เทียบกับรายจ่าย 47.3% ตอบว่ามีเงินเหลือเก็บ และ 22.2% เงินไม่เพียงพอใช้จ่าย
โดยกลุ่มที่รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย 39.9% แก้ปัญหาด้วยการกู้ยืมจากแหล่งต่าง ๆ อันดับหนึ่งคือกดเงินสดจากบัตรเครดิต รองลงมาคือกู้จากธนาคารพาณิชย์ กู้จากธนาคารเฉพาะกิจ เป็นต้น โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนมาก 38.2% มองว่าค่าครองชีพเป็นสาหตุหลักที่ทำให้ความเป็นอยู่แย่ลง
นางอุมากลมกล่าวถึงภาวะหนี้ของครัวเรือนในปี 2568 ว่าผู้ตอบส่วนใหญ่ 95.1% บอกว่ามีหนี้ มีเพียง 4.9% ที่ตอบว่าไม่มีหนี้ โดยมีหนี้เฉลี่ย 740,596.94 บาท/ครัวเรือน มีอัตราผ่อนชำระ 22,022.08 บาท/เดือน โดยเป็นหนี้ในระบบสัดส่วน 65.0% ผ่อนชำระ 20,330 บาท/เดือน ส่วนอีก 35% เป็นหนี้นอกระบบ ผ่อนชำระ 8,023/เดือน
ทั้งนี้ ประเภทหนี้สินใหญ่ 46.8% เป็นหนี้บัตรเครดิต รองลงมาคือหนี้ที่อยู่อาศัย และยานพาหนะ โดยเมื่อแบ่งตามอาชีพจะพบว่าอาชีพราชการจะก่อหนี้ยานพาหนะมากสุด อาชีพรับจ้างก่อหนี้สินเชื่อบัตรเครดิต เจ้าของกิจการก่อหนี้ที่อยู่อาศัย พนักงานเอกชนก่อหนี้บัตรเครดิต และเกษตกรก่อหนี้สินเชื่อเพื่อการเกษตรมากที่สุด เมื่อแยกเฉพาะหนี้บัตรเครดิต พบว่าส่วนใหญ่นำไปใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค รองลงมาใช้ในการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ประกอบธุรกิจ และซื้อสินค้าคงทน ตามลำดับ
เมื่อด้านความสามารถในการชำระหนี้ในปัจจุบัน พบว่าคนส่วนใหญ่ 59.3% ตอบว่าสามารถชำระได้ตามกำหนด, 24.3% ชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน, 15.6% ชำระได้ไม่เกิน 3 เดือน และ 0.8% ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เมื่อถามว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเคยผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ 74.4% ตอบว่าเคย มีอัตราเพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 71.6% และ 25.6% ตอบว่าไม่เคยผิดนัด สาเหตุหลักที่ผิดนัดชำระหนี้คือรายได้ลดลง รองลงมาคือเศรษฐกิจไม่ดี มียอดชำระหนี้เพิ่มขึ้น ตกงาน และอื่น ๆ.
https://www.prachachat.net/economy/news-1890709?fbclid=IwVERDUANCqfZleHRuA2FlbQIxMQABHnOL_Vlgrw2l_khGDe6947Zn2eJy1Hg8VQM2rg9xq9P9Va360JUx4zD5-z1__aem_70AB8fJO4Lhm02FsS5Kgcg
ผลสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยสูงสุดรอบ 4 ปี เฉลี่ยบ้านละ 7.4 แสนบาท
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากผลสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2568 ไทยมีหนี้สูงขึ้น และประเทศไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนมา 10 ปีแล้ว มีสัดส่วนสูงกว่า 80% ของจีดีพี โดยปี 2567 ไทยมีภาระหนี้ครัวเรือนราว 6 แสนบาท/ครัวเรือน แต่ปีนี้เพิ่มเป็น 7.4 แสนบาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้นถึง 22% ถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี สาเหตุหลักเกิดจากเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น และสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ
ขณะที่หนี้นอกระบบก็พุ่งสูงขึ้น เพราะสินเชื่อในระบบตึงตัว แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ทำให้สินเชื่อติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาสแล้ว หลังจากนี้ ต้องจับตามอง NPL เป็นพิเศษ เพราะมีเอ็นพีแอลที่อยู่กลุ่มต้องจับตามมองพิเศษ 6% ขณะที่เอ็นพีแอลในกลุ่มที่ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองอยู่ที่ 4% ทำให้คนผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนเกิดจากเศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งกระตุ้นจีดีพีโดยเร็ว เริ่มจากมาตรการคนละครึ่ง เชื่อว่าหากรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินคนละครึ่งวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท จะทำให้จีดีพีปีนี้โตได้ถึง 2% จะดึงให้หนี้ครัวเรือนลดลง และหากรัฐกระตุ้นต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจปีหนี้โตได้ 3-4% จะทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงต่ำกว่า 80% ได้ภายใน 3 ปี
นอกจากนี้ รัฐจะต้องเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าว ต้องเร่งหาตลาด รวมทั้งเร่งหาสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี หามาตรการทำให้สินเชื่อกลับมาเป็นบวกให้ได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
ผลสำรวจหนี้ครัวเรือนไทย
นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2568 ว่าครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ 30.9% มีรายเฉลี่ย 50,001-100,000 บาท/เดือน โดยส่วนใหญ่ 46.3% ไม่เคยเก็บออมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ส่วนกลุ่มคนที่มีการเก็บออมพบว่ามีการเก็บออมลดลง... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/economy/news-1890709
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสถานะทางการเงินของครัวเรือนปีนี้กับปีก่อน ส่วนใหญ่ 44.5% มีสถานะเหมือนเดิม, 28.4% แย่ลง, 20.7% แย่ลงมาก, 5.2% ดีขึ้น และ 1.2% ดีขึ้นมาก ด้านสถานะรายได้เทียบกับรายจ่าย 47.3% ตอบว่ามีเงินเหลือเก็บ และ 22.2% เงินไม่เพียงพอใช้จ่าย
โดยกลุ่มที่รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย 39.9% แก้ปัญหาด้วยการกู้ยืมจากแหล่งต่าง ๆ อันดับหนึ่งคือกดเงินสดจากบัตรเครดิต รองลงมาคือกู้จากธนาคารพาณิชย์ กู้จากธนาคารเฉพาะกิจ เป็นต้น โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนมาก 38.2% มองว่าค่าครองชีพเป็นสาหตุหลักที่ทำให้ความเป็นอยู่แย่ลง
นางอุมากลมกล่าวถึงภาวะหนี้ของครัวเรือนในปี 2568 ว่าผู้ตอบส่วนใหญ่ 95.1% บอกว่ามีหนี้ มีเพียง 4.9% ที่ตอบว่าไม่มีหนี้ โดยมีหนี้เฉลี่ย 740,596.94 บาท/ครัวเรือน มีอัตราผ่อนชำระ 22,022.08 บาท/เดือน โดยเป็นหนี้ในระบบสัดส่วน 65.0% ผ่อนชำระ 20,330 บาท/เดือน ส่วนอีก 35% เป็นหนี้นอกระบบ ผ่อนชำระ 8,023/เดือน
ทั้งนี้ ประเภทหนี้สินใหญ่ 46.8% เป็นหนี้บัตรเครดิต รองลงมาคือหนี้ที่อยู่อาศัย และยานพาหนะ โดยเมื่อแบ่งตามอาชีพจะพบว่าอาชีพราชการจะก่อหนี้ยานพาหนะมากสุด อาชีพรับจ้างก่อหนี้สินเชื่อบัตรเครดิต เจ้าของกิจการก่อหนี้ที่อยู่อาศัย พนักงานเอกชนก่อหนี้บัตรเครดิต และเกษตกรก่อหนี้สินเชื่อเพื่อการเกษตรมากที่สุด เมื่อแยกเฉพาะหนี้บัตรเครดิต พบว่าส่วนใหญ่นำไปใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค รองลงมาใช้ในการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ประกอบธุรกิจ และซื้อสินค้าคงทน ตามลำดับ
เมื่อด้านความสามารถในการชำระหนี้ในปัจจุบัน พบว่าคนส่วนใหญ่ 59.3% ตอบว่าสามารถชำระได้ตามกำหนด, 24.3% ชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน, 15.6% ชำระได้ไม่เกิน 3 เดือน และ 0.8% ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เมื่อถามว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเคยผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ 74.4% ตอบว่าเคย มีอัตราเพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 71.6% และ 25.6% ตอบว่าไม่เคยผิดนัด สาเหตุหลักที่ผิดนัดชำระหนี้คือรายได้ลดลง รองลงมาคือเศรษฐกิจไม่ดี มียอดชำระหนี้เพิ่มขึ้น ตกงาน และอื่น ๆ.
https://www.prachachat.net/economy/news-1890709?fbclid=IwVERDUANCqfZleHRuA2FlbQIxMQABHnOL_Vlgrw2l_khGDe6947Zn2eJy1Hg8VQM2rg9xq9P9Va360JUx4zD5-z1__aem_70AB8fJO4Lhm02FsS5Kgcg