'ประชานิยม' จุกอกคนจน ก่อหนี้ซ้ำซ้อนเร่งตัวสูงกว่าออม

'ประชานิยม'จุกอกคนจน ก่อหนี้ซ้ำซ้อนเร่งตัวสูงกว่าออม    
ที่มาประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556



  ท่ามกลางประเด็นปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่ง ภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากที่รัฐบาลเข็นทั้งโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก บัตรเครดิตชาวนา บัตรเครดิตพลังงาน ฯลฯ ล้วนแต่เพิ่มภาระในการก่อหนี้ตามมา
          โดยตัวเลขในการก่อหนี้ได้ปรากฏชัดเจนขึ้น เมื่อ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดข้อมูลหนี้สินครัวเรือนล่าสุดของไตรมาส 4/55 ที่ผ่านมา มียอด สินเชื่อคงค้างเพื่อการอุปโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 21.6% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2.91 ล้านล้านบาท ซึ่งสินเชื่อในส่วนนี้มี รายละเอียดการขยายตัวสูงดังนี้  
          สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ที่ขยายตัวถึง 33.9% เรียกว่าเป็นไปตามยอดขายรถที่พุ่งขึ้นถึง 312%
          ตามด้วยสินเชื่อเพื่อการบริโภคอุปโภคอื่น ๆ ที่ขยายตัว 29.4% โดยมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2.52 แสนล้านบาท ซึ่งหากเจาะลึกไปดูสินเชื่อในกลุ่มนี้ จะแยกเป็น สินเชื่อภายใต้การกำกับ ซึ่งก็คือสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันรวมถึงลีสซิ่ง ที่มียอดคงค้าง 2.31 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% และสินเชื่อบัตรเครดิต ที่มียอดคงค้างรวม 2.61 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3%  ซึ่งในส่วนนี้เริ่มมีสัญญาณการผิดนัดชำระสูงขึ้นแล้ว

อมยิ้ม33อมยิ้ม33อมยิ้ม33
          โดยสินเชื่อบริโภคอื่น ๆ ที่ผิดนัดชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไป (NPL) มียอดอยู่ที่  7.49 พันล้านบาท  ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตมียอด NPL อยู่ที่ 5.05 พันล้านบาท
          ส่วนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นประมาณ 12.4% ซึ่งเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/55 ที่ขยายตัว 10.9% ขณะที่ก่อนหน้านี้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ที่มีการเก็งกำไรสูง  โดยล่าสุด นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ได้ออกมา ระบุว่า ราคาคอนโดมิเนียมในไตรมาส 4 มีการปรับขึ้นมาสูงถึง 15-16% จากไตรมาส 3/55 ที่ปรับตัวสูงอยู่ที่ 8%
          ข้อมูลของ สศช. ได้ระบุเพิ่มเติมถึงปัญหา NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (ดูตาราง) ว่า มีมูลค่า NPL ส่วนนี้อยู่ที่ 5.66 หมื่นล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วน 22.3% ของ NPL รวม ซึ่งพบว่าเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่องทั้งด้านของ สินเชื่อและ NPL ตลอดทั้งปีของปี 2555 จึงต้องเฝ้าระวังและติดตามความสามารถในการชำระหนี้คืนของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
          "ผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในปี 2554 พบว่า ครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ก่อหนี้เพิ่มขึ้น โดยมีหนี้สินเฉลี่ยที่ 28,883 บาทต่อครัวเรือน/ปี หนี้เพิ่มขึ้น 6.1% จาก ปี 2552 และมีภาระค่าใช้จ่ายและ หนี้สินต่อรายได้เป็น 1.9 เท่า ขณะที่ ผู้มีรายได้ระดับสูง กลับมีการก่อหนี้ ลดลง 8.8% มีภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สิน ต่อรายได้เป็น 1.1 เท่า

อมยิ้ม23อมยิ้ม23อมยิ้ม23
          ดังนั้น หากมีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่กระทบรายได้ อาจกระทบต่อมาตรฐานการครองชีพและความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอย่างรุนแรง" สศช.ระบุ
          นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากหนี้สินเทียบกับการออม เครื่องสะท้อนภูมิคุ้มกันด้านการเงินของครัวเรือน สศช. พบว่า ข้อมูลจากรายได้ประชาชาติปี 2554 การออมของครัวเรือนมีสัดส่วนเพียง 5.29% ต่อจีดีพีเท่านั้น  ดังนั้น ภาพที่ปรากฏคือ นอกจากครัวเรือนก่อหนี้เพิ่มแล้ว ยังมีครัวเรือนถึง 9.09 ล้านครัวเรือน หรือ 45% ของครัวเรือนทั่วประเทศ ไม่มีความสามารถในการออม เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินสูงกว่ารายได้ ครัวเรือนกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นหนี้ซ้ำซ้อน และการก่อหนี้นอกระบบ ซึ่งครัวเรือนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่รับจ้างประกอบอาชีพอิสระ จัดเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น
          สศช.ได้เสนอแนะเพิ่มช่องทางให้ครัวเรือนกลุ่มนี้เข้าถึงแหล่งเงินในระบบ และจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อม ๆ ไปกับการสร้างวินัยในการใช้จ่ายและเก็บเงินออม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่