บท 1 — หยดน้ำบนใบไม้
หยดน้ำเล็ก ๆ เกาะพราวบนปลายใบ
มันส่องแสงวับเหมือนอัญมณี แต่ไม่มีค่าพอจะขาย
ฉันหัวเราะกับตัวเอง—ที่เคยไล่ตามเพชรพลอยในวันพรุ่งนี้
ทั้งที่ความงามของหยดน้ำตรงหน้า ก็เพียงพอจะทำให้หัวใจอิ่ม
บท 2 — กลิ่นดินหอมสด
กลิ่นดินหลังฝนอบอวล คล้ายบทกวีที่เขียนโดยธรรมชาติ
แต่ฉันกลับชอบวาดกลิ่นลมในวันข้างหน้า ที่ไม่มีใครดมได้
น่าขันสิ้นดี—ที่ละเลยความจริงอันชัดเจนในปอดของตัวเอง
เพื่อแลกกับภาพฝันที่ไม่มีอยู่จริง
บท 3 — เมฆที่สลายไป
ก้อนเมฆใหญ่เพิ่งผ่านพ้น ทิ้งฟ้าให้ใสขึ้น
แต่ใจฉันกลับยึดมั่นว่าจะยังมีเมฆดำอีก
ฉันหัวเราะขม ๆ กับความขี้ขลาดของตัวเอง
พรุ่งนี้จะมีเมฆหรือไม่—มันไม่สำคัญหรอก
สำคัญแค่วันนี้ ฉันยังหายใจอยู่ใต้ฟ้าใสนี้
บท 4 — เสียงนกร้องหลังฝน
นกเล็กโผล่จากกิ่งไม้ ส่งเสียงร้องสดใส
มันไม่ซ้อมเสียงเพื่อวันพรุ่งนี้
มันร้องเพราะวันนี้มีค่าเพียงพอที่จะร้อง
ฉันอับอายกับความเงียบของตนเอง
ที่มัวแต่รอทำนองของวันหน้า จนลืมร้องเพลงของวันนี้
บท 5 — ใบไม้สั่นไหว
ใบไม้สั่นรับสายลม ไม่เคยลังเลว่าจะปลิวหรือไม่
มันยอมเป็นสิ่งที่มันเป็น โดยไม่ห่วงหน้าตาในวันข้างหน้า
ฉันหัวเราะเยาะความเขลาของตน
ที่คอยสวมหน้ากากเผื่ออนาคต
ทั้งที่วันนี้ ก็เพียงพอให้ฉันได้ยืนในแสง
บท 6 — หญ้าที่ชุ่มน้ำ
เท้าฉันเหยียบลงบนหญ้าเปียก
ความเย็นซึมเข้าสู่ส้นเท้า เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
แต่ใจกลับกลัวเปื้อน กลัวเลอะ
ขำเถิด—คนที่เดินอยู่จริง แต่กลับทำเหมือนไม่ได้เดิน
ชีวิตจะมีค่าอย่างไร หากไม่ยอมสัมผัสมันตรง ๆ
บท 7 — ทางเดินเปียกฝน
ทางดินทอดยาวชื้นแฉะ
ทุกก้าวทิ้งร่องรอยโคลนไว้เบื้องหลัง
ฉันเคยมองรอยเท้าเป็นความผิดพลาด
วันนี้ฉันกลับหัวเราะใส่ความคิดนั้น
เพราะร่องรอยคือหลักฐานว่าฉันเดินจริง ไม่ใช่แค่ฝันกลางวัน
บท 8 — ต้นไม้สูงตระหง่าน
ต้นไม้ไม่เคยถามหาคำตอบจากอนาคต
มันเติบโตด้วยน้ำที่ดื่มวันนี้ แสงที่รับตอนนี้
ฉันหัวเราะขื่นกับตัวเอง—ที่มัวรออนาคตมาอนุญาตให้เติบโต
ทั้งที่ปัจจุบันก็มีทุกอย่างเพียงพอแล้ว
บท 9 — ฟ้าเปิดกว้าง
เมฆเปิดเผยให้ฟ้าเป็นผืนผ้าสีฟ้าอ่อน
ฉันกลับมัวแต่คาดเดา ว่ามันจะหม่นอีกเมื่อไร
ช่างตลกสิ้นดี—ฉันเป็นนักโหรที่พยากรณ์ผิดเสมอ
แต่ไม่เคยหยุดพยากรณ์
วันนี้สอนฉันว่า: ฟ้าจะเป็นอย่างไร ก็เป็น
หน้าที่ของฉันคือหายใจใต้ฟ้าที่มีอยู่จริง
บท 10 — ผลไม้เล็กสีเขียว
ผลเล็ก ๆ ห้อยอยู่บนกิ่ง ยังไม่สุก
แต่มันคือสัญญาว่าจะถึงวันสุกงอม
ฉันหัวเราะตัวเองที่ชอบรีบปีนไปเก็บผลที่ยังไม่พร้อม
แล้วก็เจ็บตัวฟรี
บางทีการรอให้สุกตามเวลา อาจเป็นบทเรียนที่อร่อยที่สุด
บท 11 — ลมเย็นหลังฝน
ลมพัดเอาความเย็นมาสัมผัสแก้ม
แต่ฉันกลับกังวลว่าเย็นนี้ อากาศจะหนาวเกินไป
น่าขันนัก—ฉันไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ได้
ทั้งที่ความเย็นนี้คือของขวัญ
ฉันหัวเราะใส่หัวใจตัวเอง แล้วสูดลมจนเต็มปอด
บท 12 — หยดน้ำที่ร่วง
หยดน้ำร่วงจากยอดไม้
บางหยดตกใส่ไหล่ฉัน—เย็นฉ่ำ
ฉันเคยกลัวการเปียก แต่ตอนนี้หัวเราะกับมัน
เพราะทุกหยดคือการย้ำว่า “ฉันยังอยู่ในโลกจริง”
ไม่ใช่ในอนาคตอันพร่าเลือน
บท 13 — กลิ่นใบไม้เขียวสด
กลิ่นเขียวชื้นอบอวล เป็นน้ำหอมที่ไม่มีใครขาย
ฉันเคยวิ่งหากลิ่นแห่งอนาคต
ทั้งที่กลิ่นวันนี้ก็สดใหม่จนแทบล้นหัวใจ
ตลกดี—ฉันเป็นนักท่องโลก ที่มองข้ามสวนหลังบ้านของตัวเอง
บท 14 — หัวเราะกับเงา
เงาฉันทอดยาวบนพื้นเปียก
มันไม่แน่นอน เดี๋ยวชัด เดี๋ยวจาง
แต่ฉันเคยพยายามไขว่คว้ามันไว้
หัวเราะเถิด—เพราะฉันกำลังโง่จับสิ่งที่ไม่มีเนื้อแท้
วันนี้ฉันปล่อยเงาไป แล้วจับปัจจุบันแทน
บท 15 — ต้นไม้ไม่มีเวลา
ต้นไม้ไม่เคยนับชั่วโมง มันแค่ยืน
เติบโตตามฝน แสงแดด และลม
ฉันหัวเราะเยาะมนุษย์ในตัวเอง
ที่ผูกชีวิตไว้กับเข็มนาฬิกา
ทั้งที่ความสุขแท้จริง ไม่เคยมีเวลาเป็นเงื่อนไข
บท 16 — ฝนที่สัญญาจะมาอีก
ฉันมัวแต่เดาว่าฝนจะมาตกอีกเมื่อไร
ขำเถิด—ฝนไม่เคยให้สัญญา
มันมาเมื่อถึงเวลา และพอใจก็จากไป
ฉันเองก็ไม่ต่างจากคนงมงาย
ที่รอจดหมายจากอนาคต ทั้งที่มันไม่เคยเขียนหาใคร
บท 17 — เปลือกไม้หัวเราะ
เปลือกไม้เต็มไปด้วยรอยแผล แต่ยืนหยัด
ฉันหัวเราะเยาะตัวเอง—ที่กลัวรอยแผลจนไม่กล้าใช้ชีวิต
เปลือกไม้บอกว่า “เจ็บก็แค่บทเรียน”
แต่ฉันกลับเชื่อว่ามันคือคำสาป
วันนี้ฉันยอมเปลี่ยนแผลให้เป็นครู
บท 18 — คำมั่นที่แท้จริง
ฉันเคยให้สัญญากับพรุ่งนี้ ที่ไม่เคยมาฟัง
ขำสิ้นดี—พูดอยู่ฝ่ายเดียวกับเงามืด
แต่วันนี้ ฉันหันกลับมา
ให้สัญญากับตัวเองว่า จะใช้ลมหายใจนี้ให้เต็ม
ไม่ให้วันไหนต้องสูญเปล่าอีก
บท 19 — ต้นไม้ยิ้มแก่ลม
ฉันมองต้นไม้ไหวเอน หัวเราะกับสายลม
มันยิ้มด้วยความจริง ไม่ได้ขออนาคตมารับรอง
ฉันหัวเราะกับชะตาตัวเอง—ที่หลงไปกับภาพฝันมากมาย
วันนี้ฉันตื่นแล้ว จากความเพ้อพก
ฉันจะยืน ยิ้ม และหายใจ
เหมือนต้นไม้หลังฝน ที่ยิ้มแก่ลมอย่างสงบสุข
ต้นไม้หลังฝน — หัวเราะเยาะเงาแห่งอนาคต