“มหากาพย์แห่งความว่างเปล่า — บทโศกนาฏกรรม”

กระทู้สนทนา

บทนำ : เงาเหนือจักรวาล
ท้องฟ้าผืนเดิม กลับกลายเป็นแผ่นกระจกแตก
แสงสะท้อน เป็นเศษเสี้ยวที่คมกว่าดาบ
เมฆไม่เพียงบดบัง — มันรู้จักการฆ่า
ค่อย ๆ ถมความหวังด้วยฝ้าเข้ม
และในฝ้า นามฉันกลายเป็นเสียงที่ถูกเพิกถอน

บทที่ 1 : การตื่นที่ไม่มีรุ่งอรุณ
ฉันตื่นขึ้นโดยไม่รู้จักเช้า
ไม่มีปีกความหวัง บินกลับมาจากความมืด
เพียงความรู้สึก เหมือนการตื่นในสุสาน
ไร้เสียงนกร้อง ไร้คนเดินผ่าน
มีเพียงการหายใจของโลก ที่ยาวนานและหนักอึ้ง

บทที่ 2 : ทางเดินของคนหลงทาง
ถนนทอดยาว ไปสู่ที่ว่างเปล่า
ทุกเส้น แบ่งทิ้งฉันไว้กับรอยเท้าของตัวเอง
ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีแสงไฟนำทาง
แค่ร่องรอยเดิม ๆ ที่วนกลับมา—ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหมือนชีวิต ถูกขีดเขียนด้วยหมึกสีดำที่ไม่จาง

บทที่ 3 : กระจกของน้ำ
ผืนน้ำ ไม่ตอบสนองต่อคำถาม
มันเพียงส่งคืนภาพที่พร่ามัว แล้วเยาะเย้ย
ใบหน้าที่ฉันหวังว่าจะเห็น ยิ่งชัดเจนยิ่งพร่ามัว
แล้วแตกละเอียด เป็นคำถามที่ไร้ปลาย
น้ำไม่ยอมให้ความจริง—มีเพียงการย้ำเตือนของความสูญ

บทที่ 4 : ป่าที่ร้องไห้
ต้นไม้ ส่งเสียงคร่ำครวญในยามค่ำคืน
กิ่งก้านกระทบกัน เหมือนมือที่ค้นหาอะไรสักอย่าง
ใบไม้ กลายเป็นกระดาษบันทึกความสูญเสีย
ทุกลมพัด คือบทกวีที่ไม่เคยมีใครอ่านจบ
ป่าที่เคยให้ที่หลบ กลับกลายเป็นเวทีศาล ที่ตัดสินความโดดเดี่ยว

บทที่ 5 : ดวงอาทิตย์ไร้คำปลอบ
แสงยังส่อง แต่เป็นการส่องที่ไร้ความเมตตา
เหมือนสายตาคนทรยศ ที่จ้องจะเผยความเจ็บปวด
มันไม่อ่อนโยนกับบาดแผล แค่ย้ำให้ฉันเห็นว่ามันมีอยู่
ความร้อน กรีดผิวหนังให้รู้สึกว่า ทุกสิ่งยังมีการทรมานอยู่

บทที่ 6 : เสียงสะท้อนที่เสียรูป
ฉันเรียกชื่อหนึ่งครั้ง เสียงสะท้อนกลับมาเป็นคนแปลกหน้า
มันเปลี่ยนน้ำเสียง จนฉันไม่รู้จักตัวเอง
เสียงนั้นเยาะเย้ย เปรียบเหมือนกระจกที่บิดเบี้ยว
และในที่สุด ฉันก็หยุดถาม เพราะคำตอบ ทำให้อ่อนแอลงเร็วขึ้น

บทที่ 7 : คืนของถ้อยคำที่หายไป
คำพูด เคยเป็นดวงประทีปที่ชี้ทาง
ตอนนี้ คำพูดกลายเป็นชิ้นส่วนของความว่าง
เมื่อเอื้อนเอ่ย ไม่มีผู้ใดรับมันไว้
มันตกลงไปในความมืด และแตกเป็นเงื่อนงำ ที่ไม่มีใครแก้ได้

บทที่ 8 : หยาดน้ำตาที่ไม่เคยสุกงอม
น้ำตาไหล แต่ไม่เคยชะล้างบาดแผล
มันกลายเป็นฝุ่นที่แห้งกรังในซอกคอ
ความพร่ามัวของสายตา กลายเป็นเกราะป้องกัน
แต่เกราะนั้นหนัก ทับซ้อน ทำให้ฉันจมลงลึกกว่าเดิม

บทที่ 9 : เมฆซ้อนเมฆ
เมฆอีกชั้น อีกชั้น และอีกชั้น
ไม่มีการยุติ ไม่มีการสลาย
พวกมันเหมือนกระดูกซ้ำซ้อนของโลก
เมื่อฉันพยายามปีนผ่าน ก็พบเพียงเมฆที่หนาขึ้นเท่านั้น

บทที่ 10 : การเฝ้าดูคำอำลา
ฉันยืนเฝ้าดูตัวเอง พรากจากตัวเอง
ภาพนั้นค่อย ๆ ถอยห่าง เหมือนการจากลา
ไม่มีผู้ใดมาเช็ดน้ำตา ไม่มีพยานในการลาจาก
เพียงฉันและการจาก—ซึ่งเงียบกว่าคำพูดใด

บทที่ 11 : ห้วงเวลาเดียวดาย
นาฬิกาไม่ทำงาน เมื่อโลกถอนเสียง
เวลาไหล เป็นความรู้สึกที่ยืดยาวและขมขื่น
ฉันจับมันไม่ได้—เหมือนพยายามเห็นร่องรอยของฝุ่น
แต่ฝุ่นก็เงียบ ไม่แสดงร่องรอยการมีอยู่

บทที่ 12 : กำแพงแห่งความทรงจำ
ความทรงจำ เป็นแผ่นหินที่แข็งกระด้าง
ฉันพิงมันแล้วรู้สึกหนาวเย็นถึงกระดูก
ภาพอดีตที่เคยอบอุ่น กลับกลายเป็นภาพถ่ายที่ถูกล้างสี
ฉันพยายามรื้อฟื้น แต่ยิ่งขุด ยิ่งพบแต่ซากที่ไม่อาจประกอบ

บทที่ 13 : เส้นด้ายของชะตา
เส้นด้าย ที่เคยผูกฉันไว้กับโลก ขาดออกทีละเส้น
ไม่มีการตัดที่ชัดเจน—แค่การสึกกร่อนอย่างช้า ๆ
ฉันพยายามรักษา แต่มือฉันตกเลือด จากการพยายาม
และเส้นด้ายนั้น ค่อย ๆ ละลายไปกับความเย็น

บทที่ 14 : เงาที่เรียนรู้การรับโทษ
เงาของฉันเริ่มยาวขึ้น ราวกับจะกลืนฉันทั้งตัว
มันเรียนรู้ท่วงท่าของความเจ็บปวด จนชำนาญ
ฉันกลายเป็นเงาที่เดินตามเงาอีกที
และเมื่อฉันยืนนิ่ง เงาค่อย ๆ ครอบคลุมร่างกาย

บทที่ 15 : เสียงหัวเราะที่แห้งเหี่ยว
ความเศร้าเปลี่ยนรูป เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่เคยมีรสหวาน
มันดังแช่งชัก แฝงกลิ่นของการยอมแพ้
มนุษย์ที่เคยยิ้ม กลายเป็นผู้เล่นหุ่นเชิด ในเรื่องราวที่ไม่มีบทสรุป
และเสียงหัวเราะนั้น ไม่มีผู้ใดร่วมสนุก

บทที่ 16 : การจารึกโดยไม่มีผู้จารึก
ฉันเขียนบันทึกในทราย แต่ลมพัดมันหายไป
ไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครจำ ความพยายามหายไปพร้อมรอยเท้า
ฉันพยายามจดจำ แต่จิตใจดึงฉันกลับมา เป็นเพียงพยานคนเดียว
พยานที่ไม่อาจยืนยันอะไรได้อีกต่อไป

บทที่ 17 : คำสาปที่กลายเป็นนิสัย
ความเงียบ ค่อย ๆ กลายเป็นนิสัยประจำกาย
ฉันตื่นมาพร้อมกับมัน นอนหลับก็มีมันอยู่ข้างหู
เมื่อความเงียบกลายเป็นนิสัย มนุษย์ก็ลืมการเรียกร้อง
และโลก ตอบแทนด้วยการเงียบที่แน่นแฟ้นขึ้น

บทที่ 18 : ห้วงลึกของการยอมจำนน
วันหนึ่ง ฉันหยุดต่อสู้กับเงา
ไม่ใช่เพราะได้ชัยชนะ แต่เพราะแรงหมดลง
การยอมจำนนไม่งดงาม — มันเย็นชาและแน่วแน่
ฉันยอมให้ความเงียบพาดผ่าน ชี้ทางสู่ความสงบแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องการคำพูด

บทที่ 19 : การละลายของภาพ
ภาพอดีต ค่อย ๆ ละลาย เหมือนขี้ผึ้งเทลงบนไฟ
รูปร่างหายไป สีเพี้ยนเป็นเงา
และเมื่อภาพสุดท้ายหายไป ฉันพบว่า ตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางความโล่ง
โล่งจนกลัว จนอาจเรียกได้ว่า มันคือความสงบที่ผิดเพี้ยน

บทที่ 20 : ปัจฉิมการเปิดฝา
สุดท้าย ฉันพบตัวเองยืนหน้าโลงศพ — แต่โลงนั้นกลับว่างเปล่า
ไม่มีศพ ไม่มีชื่อ มีเพียงฝาพับที่เปิดทิ้งไว้
บางทีโลงคือโลก บางทีฝาเปิดคือการสลาย
หรือบางที—เป็นการยอมรับว่า ไม่มีใครต้องการการพิสูจน์อีกต่อไป

เอพิล็อก : โศกนาฏกรรมที่ไม่มีบทส่งท้าย
จักรวาลยังคงหมุน แม้จะไม่มีผู้ชม
เมฆยังถมแสง แสงยังพยายามส่อง แต่ไร้เสียงทักท้วง
นี่คือมหากาพย์ ที่ไม่ต้องการการจดจำ
เพราะความว่างเปล่า กลืนทุกความพยายามอยู่แล้ว
ฉันเดินจากไปพร้อมกับความเงียบ และความเงียบก็เดินตามฉันไป
คู่หูนิรันดร์ ในละครโศกของฉันเอง...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่