มีใครเคยโดนเพื่อนบ่นมั้ยครับว่า…
“ทำไมเก็บของเยอะนัก?”
“ห้องรกเกินไปแล้วนะ!”
หรือบางทีเราเองก็แอบถามตัวเองว่า “ฉันมันเป็นคนเยอะไปหรือเปล่านะ?” 😅
ช่วงหลังผมได้ลองอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อว่า
“Maximalism: มากอย่างมีศิลป์” แล้วบอกเลยว่าเปิดโลกมาก ๆ เพราะมันทำให้ผมเข้าใจเลยว่า…
จริง ๆ แล้วการเป็น “คนมาก” ไม่ใช่เรื่องผิด!
แค่เราต้อง “คุมเกม” ให้เป็น
วันนี้เลยอยากมาเล่าให้อ่านกันสนุก ๆ เผื่อใครจะเจอคำตอบเหมือนผมครับ
🎨 Maximalism คืออะไร?
ก่อนอื่นเราต้องเคลียร์ความเข้าใจผิดก่อน
หลายคนคิดว่า Maximalism = ซื้อของไม่หยุด, บ้านรก, ใช้เงินฟุ่มเฟือย
แต่ความจริง
ไม่ใช่แบบนั้นเลย
หนังสือบอกว่า
Maximalism คือการเลือกที่จะมี “มาก” อย่างมีเจตนา
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ…
“มาก…แต่มีความหมาย”
ต่างจาก Minimalism ที่บอกว่า “น้อยคือมาก”
Maximalism จะพูดว่า “มาก…ก็มีความหมายได้”
🌈 Maximalism มีหลายด้านนะ
ในเล่มเขาเล่า Maximalism แบบครบทุกมิติ ผมลองสรุปให้ฟัง
1. บ้านและพื้นที่ชีวิต
บ้าน Maximalist ไม่ได้แปลว่ากองของเต็มบ้านนะครับ
แต่มันคือบ้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราว เช่น ผนังที่มีรูปถ่ายครอบครัว ของที่ระลึกจากการเดินทาง
เวลาเดินเข้าไปแล้วรู้สึก “นี่แหละ…บ้านนี้คือฉัน”
2. ประสบการณ์
Maximalist ชอบเก็บทั้งของและประสบการณ์
เช่น ชิมอาหารแปลก ๆ เวลาเดินทาง แล้วเก็บบันทึกไว้
หรือสะสมตั๋วคอนเสิร์ตเล็ก ๆ เพื่อเรียกความทรงจำ
3. การจัดการเวลาและพลังงาน
ชีวิตแบบ “มาก” = กิจกรรมเพียบ
ถ้าไม่วางระบบก็เหนื่อยง่าย หนังสือเลยสอนเทคนิค เช่น Time blocking, Themed day
ทำให้ชีวิต “เต็มแต่ไม่ล้น”
4. อารมณ์
Maximalist มักรู้สึกเต็ม ๆ จะสุขก็สุขสุด จะเศร้าก็สุดขีด
หนังสือเลยแนะนำให้ใช้ ritual เล็ก ๆ เช่น เขียนบันทึก ปิดวันก่อนนอน เพื่อจัดการอารมณ์ไม่ให้ overflow
5. ความสัมพันธ์และเครือข่าย
Maximalist มักมีเพื่อนเยอะ วงกว้าง กิจกรรมเพียบ
ถ้าจัดการดีจะกลายเป็นพลัง แต่ถ้าไม่คุมก็จะกลายเป็นเหนื่อย
6. การเงิน
“มาก” ไม่จำเป็นต้องแปลว่า “สิ้นเปลือง”
หนังสือสอนให้ใช้เงินกับสิ่งที่มีความหมายและคุ้มค่า ไม่ใช่ซื้อตามอารมณ์
🤔 แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็น Maximalist?
มาลองทำ
แบบทดสอบสั้น ๆ ที่หนังสือเสนอ
เวลาไปเที่ยว คุณมักเก็บอะไรกลับมา?
A: ของสะสมเฉพาะ เช่น หนังสือเก่า แผ่นเสียง
B: ของที่เล่าเรื่องได้
C: ตั๋วคอนเสิร์ต รูปถ่าย
D: ของตกแต่งบ้าน/โต๊ะอาหาร
คุณภูมิใจกับอะไรที่สุด?
A: คอลเลกชันครบถ้วน
B: ห้องที่จัดอย่างมีธีม
C: อัลบั้มรูปการเดินทาง
D: งานเลี้ยงที่ทำให้เพื่อนประทับใจ
คุณมอง “ของเยอะ” ยังไง?
A: ยิ่งครบยิ่งดี
B: ยิ่งเลือกสวยงามยิ่งดี
C: ยิ่งหลากหลายยิ่งสนุก
D: ยิ่งใช้ร่วมกับคนอื่นได้ยิ่งคุ้ม
ผลลัพธ์
ส่วนใหญ่ A =
Collector นักสะสม
ส่วนใหญ่ B =
Curator นักคัดสรร
ส่วนใหญ่ C =
Experience-seeker นักสะสมประสบการณ์
ส่วนใหญ่ D =
Host คนชอบสร้างบรรยากาศ
แล้วคุณล่ะ…เป็นแบบไหน? 😁
😅 แต่ก็ต้องระวังนะ…
การเป็น Maximalist ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ปัญหาคือถ้า “มากเกินไปจนบานปลาย” เช่น
เก็บทุกอย่างไม่เลือก → บ้านกลายเป็นโกดัง
ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ → เงินเกลี้ยง
ของเยอะจนดูแลไม่ไหว → เครียด
หนังสือเลยสอนให้ถามตัวเองก่อนเก็บหรือซื้อว่า
ทำไมเราต้องการสิ่งนี้?
ใครได้ประโยชน์? แค่เราหรือคนรอบข้างด้วย?
มันเล่าเรื่อง/ใช้งาน/ทำให้เรามีความสุขจริงหรือเปล่า?
ถ้าตอบได้ชัดเจน = เก็บเลยครับ นั่นคือ “มากอย่างมีศิลป์”
แต่ถ้าตอบไม่ได้ = อาจจะไม่ควรมี
✨ Key takeaway จากหนังสือ
Maximalism = การมีมาก แต่มีความหมาย
Minimalism ทำให้บางคนสุข แต่ทำให้บางคนอึดอัด
Maximalism เปิดพื้นที่ให้เราเป็นตัวเองเต็มที่ โดยไม่ต้องตัดทอนตัวตนออกไป
📖 แนะนำสำหรับคนที่สนใจ
ใครที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น “สายเยอะ”
หรือใครที่อยากหาทางบาลานซ์ระหว่าง Minimalism กับชีวิตจริงที่มีของ มีงาน มีเพื่อน มีอารมณ์ มีทุกอย่างเต็มไปหมด
ผมแนะนำเลยครับ
👉
“Maximalism: มากอย่างมีศิลป์”
อ่านแล้วคุณจะเลิกโทษตัวเองว่า “ฉันมันเยอะไป”
แล้วจะเข้าใจว่า
“เยอะได้ ถ้าเยอะอย่างมีศิลป์”
💬 สุดท้ายอยากถามเพื่อน ๆ ในพันทิปครับ
คุณคิดว่าตัวเองเป็น Minimalist หรือ Maximalist?
แล้ว “ความมาก” ในชีวิตคุณ…กำลังให้พลัง หรือกำลังถ่วงอยู่?
ซื้อและทดลองอ่านฟรีได้ที่
https://www.hytexts.com/ebook/f621c6f6-90c1-4580-b7d2-b080e19003c5
คุณเป็น Maximalist รึเปล่า? ถ้าใช่…ไม่ผิดนะ แต่ขอให้คุมเกมให้อยู่
มีใครเคยโดนเพื่อนบ่นมั้ยครับว่า…
“ทำไมเก็บของเยอะนัก?”
“ห้องรกเกินไปแล้วนะ!”
หรือบางทีเราเองก็แอบถามตัวเองว่า “ฉันมันเป็นคนเยอะไปหรือเปล่านะ?” 😅
ช่วงหลังผมได้ลองอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อว่า “Maximalism: มากอย่างมีศิลป์” แล้วบอกเลยว่าเปิดโลกมาก ๆ เพราะมันทำให้ผมเข้าใจเลยว่า…
จริง ๆ แล้วการเป็น “คนมาก” ไม่ใช่เรื่องผิด!
แค่เราต้อง “คุมเกม” ให้เป็น
วันนี้เลยอยากมาเล่าให้อ่านกันสนุก ๆ เผื่อใครจะเจอคำตอบเหมือนผมครับ
🎨 Maximalism คืออะไร?
ก่อนอื่นเราต้องเคลียร์ความเข้าใจผิดก่อน
หลายคนคิดว่า Maximalism = ซื้อของไม่หยุด, บ้านรก, ใช้เงินฟุ่มเฟือย
แต่ความจริง ไม่ใช่แบบนั้นเลย
หนังสือบอกว่า Maximalism คือการเลือกที่จะมี “มาก” อย่างมีเจตนา
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ…
“มาก…แต่มีความหมาย”
ต่างจาก Minimalism ที่บอกว่า “น้อยคือมาก”
Maximalism จะพูดว่า “มาก…ก็มีความหมายได้”
🌈 Maximalism มีหลายด้านนะ
ในเล่มเขาเล่า Maximalism แบบครบทุกมิติ ผมลองสรุปให้ฟัง
1. บ้านและพื้นที่ชีวิต
บ้าน Maximalist ไม่ได้แปลว่ากองของเต็มบ้านนะครับ
แต่มันคือบ้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราว เช่น ผนังที่มีรูปถ่ายครอบครัว ของที่ระลึกจากการเดินทาง
เวลาเดินเข้าไปแล้วรู้สึก “นี่แหละ…บ้านนี้คือฉัน”
2. ประสบการณ์
Maximalist ชอบเก็บทั้งของและประสบการณ์
เช่น ชิมอาหารแปลก ๆ เวลาเดินทาง แล้วเก็บบันทึกไว้
หรือสะสมตั๋วคอนเสิร์ตเล็ก ๆ เพื่อเรียกความทรงจำ
3. การจัดการเวลาและพลังงาน
ชีวิตแบบ “มาก” = กิจกรรมเพียบ
ถ้าไม่วางระบบก็เหนื่อยง่าย หนังสือเลยสอนเทคนิค เช่น Time blocking, Themed day
ทำให้ชีวิต “เต็มแต่ไม่ล้น”
4. อารมณ์
Maximalist มักรู้สึกเต็ม ๆ จะสุขก็สุขสุด จะเศร้าก็สุดขีด
หนังสือเลยแนะนำให้ใช้ ritual เล็ก ๆ เช่น เขียนบันทึก ปิดวันก่อนนอน เพื่อจัดการอารมณ์ไม่ให้ overflow
5. ความสัมพันธ์และเครือข่าย
Maximalist มักมีเพื่อนเยอะ วงกว้าง กิจกรรมเพียบ
ถ้าจัดการดีจะกลายเป็นพลัง แต่ถ้าไม่คุมก็จะกลายเป็นเหนื่อย
6. การเงิน
“มาก” ไม่จำเป็นต้องแปลว่า “สิ้นเปลือง”
หนังสือสอนให้ใช้เงินกับสิ่งที่มีความหมายและคุ้มค่า ไม่ใช่ซื้อตามอารมณ์
🤔 แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็น Maximalist?
มาลองทำ แบบทดสอบสั้น ๆ ที่หนังสือเสนอ
เวลาไปเที่ยว คุณมักเก็บอะไรกลับมา?
A: ของสะสมเฉพาะ เช่น หนังสือเก่า แผ่นเสียง
B: ของที่เล่าเรื่องได้
C: ตั๋วคอนเสิร์ต รูปถ่าย
D: ของตกแต่งบ้าน/โต๊ะอาหาร
คุณภูมิใจกับอะไรที่สุด?
A: คอลเลกชันครบถ้วน
B: ห้องที่จัดอย่างมีธีม
C: อัลบั้มรูปการเดินทาง
D: งานเลี้ยงที่ทำให้เพื่อนประทับใจ
คุณมอง “ของเยอะ” ยังไง?
A: ยิ่งครบยิ่งดี
B: ยิ่งเลือกสวยงามยิ่งดี
C: ยิ่งหลากหลายยิ่งสนุก
D: ยิ่งใช้ร่วมกับคนอื่นได้ยิ่งคุ้ม
ผลลัพธ์
ส่วนใหญ่ A = Collector นักสะสม
ส่วนใหญ่ B = Curator นักคัดสรร
ส่วนใหญ่ C = Experience-seeker นักสะสมประสบการณ์
ส่วนใหญ่ D = Host คนชอบสร้างบรรยากาศ
แล้วคุณล่ะ…เป็นแบบไหน? 😁
😅 แต่ก็ต้องระวังนะ…
การเป็น Maximalist ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ปัญหาคือถ้า “มากเกินไปจนบานปลาย” เช่น
เก็บทุกอย่างไม่เลือก → บ้านกลายเป็นโกดัง
ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ → เงินเกลี้ยง
ของเยอะจนดูแลไม่ไหว → เครียด
หนังสือเลยสอนให้ถามตัวเองก่อนเก็บหรือซื้อว่า
ทำไมเราต้องการสิ่งนี้?
ใครได้ประโยชน์? แค่เราหรือคนรอบข้างด้วย?
มันเล่าเรื่อง/ใช้งาน/ทำให้เรามีความสุขจริงหรือเปล่า?
ถ้าตอบได้ชัดเจน = เก็บเลยครับ นั่นคือ “มากอย่างมีศิลป์”
แต่ถ้าตอบไม่ได้ = อาจจะไม่ควรมี
✨ Key takeaway จากหนังสือ
Maximalism = การมีมาก แต่มีความหมาย
Minimalism ทำให้บางคนสุข แต่ทำให้บางคนอึดอัด
Maximalism เปิดพื้นที่ให้เราเป็นตัวเองเต็มที่ โดยไม่ต้องตัดทอนตัวตนออกไป
📖 แนะนำสำหรับคนที่สนใจ
ใครที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น “สายเยอะ”
หรือใครที่อยากหาทางบาลานซ์ระหว่าง Minimalism กับชีวิตจริงที่มีของ มีงาน มีเพื่อน มีอารมณ์ มีทุกอย่างเต็มไปหมด
ผมแนะนำเลยครับ
👉 “Maximalism: มากอย่างมีศิลป์”
อ่านแล้วคุณจะเลิกโทษตัวเองว่า “ฉันมันเยอะไป”
แล้วจะเข้าใจว่า “เยอะได้ ถ้าเยอะอย่างมีศิลป์”
💬 สุดท้ายอยากถามเพื่อน ๆ ในพันทิปครับ
คุณคิดว่าตัวเองเป็น Minimalist หรือ Maximalist?
แล้ว “ความมาก” ในชีวิตคุณ…กำลังให้พลัง หรือกำลังถ่วงอยู่?
ซื้อและทดลองอ่านฟรีได้ที่ https://www.hytexts.com/ebook/f621c6f6-90c1-4580-b7d2-b080e19003c5