Thairath Online
จำได้เลย เมื่อเดือนก่อน เพื่อนผู้จัดการสาขาธนาคารแห่งหนึ่งได้มาปรึกษา
“พี่แปะครับ ธนาคารได้ประกาศโครงการเกษียณก่อนกำหนด early retire ให้พนักงานที่มีอายุระหว่าง 45 ถึง 59 ปี สามารถสมัครใจลาออกก่อนเกษียณได้ โดยไม่จำกัดอายุงาน พร้อมกับมอบเงินชดเชยและเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มเติมให้อีก 8 ถึง 12 เดือนตามช่วงอายุ ผมควรเอามั้ย เอาก็กลัวหางานใหม่ยาก ไม่เอาก็กลัวว่าอนาคตจะถูกเลิกจ้าง แล้วจะได้ package ดี ๆ อย่างนี้หรือเปล่า?”
ตอนแรกฟังก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะตั้งแต่มี mobile banking เข้ามาในชีวิตโดยเฉพาะช่วงโควิด-19 คนไทยก็คุ้นเคยกับการใช้แอปฯ เป๋าตังบนมือถือในการจับจ่าย โอนเงินกันแล้ว เมื่อเราทำทุกอย่างบนมือถือได้ ความจำเป็นต้องไปสาขาธนาคารก็ลดน้อยลง ยิ่งตอนหลังพนักงานธนาคารมักจะคะยั้นคะยอให้ช่วยซื้อประกันเอย กองทุนเอย หุ้นกู้เอย ฯลฯ ยิ่งทำให้การไปสาขาธนาคารยิ่งห่างเหินไป ผลก็คือ ธนาคารลดจำนวนสาขาลง พนักงานธนาคารก็ลดจำนวนลงตามกันไป
แต่เกษียณก่อนกำหนดครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะประกาศเป็นการทั่วไป และกำหนดช่วงอายุชัดเจนและครอบคลุมกว้างมากคือ ตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ว่าไปแล้วอายุ 45 ปีเป็นช่วงที่คนเรามีศักยภาพสูงสุด มีประสบการณ์ มีวุฒิภาวะ น่าจะเป็นช่วงอายุที่ทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้มากที่สุด โครงการเกษียณก่อนกำหนดครั้งนี้จึงสั่นสะเทือนวงการมนุษย์เงินเดือนกันเลยทีเดียวว่าจุดจบของความมั่นคงทางการงานของมนุษย์เงินเดือนอย่างแท้จริงเริ่มขึ้นแล้ว
แล้วอย่างนี้ ถ้าเราเลือกที่จะเกษียณ เราในฐานะ “ลูกจ้าง” ควรต้องรู้อะไรบ้าง
บริหารเงินที่จะได้เพราะออกจากงาน
1.หากตอนเลือกเกษียณก่อนกำหนด ลูกจ้างที่มีอายุงานไม่น้อยกว่า 5 ปี ลูกจ้างสามารถเลือกเอาเงินชดเชยที่นายจ้างให้แยกยื่นภาษีตามมาตรา 48(5) ได้ไม่ต้องเอาไปยื่นรวมกับเงินได้อื่น หรือที่เรียกกันว่า แยกยื่นในใบแนบ เป็นการแยกคำนวณภาษีของเงินได้ทำให้เสียภาษีน้อยลง แต่ถ้าอายุงานลูกจ้างน้อยกว่า 5 ปี ลูกจ้างก็ต้องนำเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานไปยื่นรวมกับเงินได้ตามปกติ ดังนั้นตรวจสอบอายุงานเราให้ดีก่อนนะ จะได้ยื่นภาษีได้ถูกต้อง จะได้ประหยัดภาษี มีเงินเก็บสำหรับการใช้จ่ายที่จะมีอีกมาก
2.โดยทั่วไปเกษียณก่อนกำหนด แม้นายจ้างจะจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานพร้อมเงินช่วยเหลืออื่น ๆ แล้ว นายจ้างมักจะให้ลูกจ้างเขียนใบลาออก แต่ถ้าเลือกได้ เลือกถูกเลิกจ้าง ไม่เขียนใบลาออก จะดีกว่า ดังนี้
เงินชดเชยจากการถูกเลิกจ้างส่วนที่ไม่เกินค่าจ้าง 400 วัน และต้องไม่เกิน 600,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ถ้าหากเงินชดเชยที่ได้รับมากกว่า 600,000 บาท ส่วนที่เกินจะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่เงินชดเชยจากการเกษียณอายุหรือหมดสัญญาจ้างไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ รวมถึงเงินชดเชยจากการลาออกด้วยความสมัครใจ แม้นายจ้างได้จ่ายเงินชดเชยที่คำนวณตามกฎหมายก็ “ไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินชดเชย” ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในส่วนนี้
ข้อดีของเงินชดเชยที่ได้จากการถูกเลิกจ้าง คือ เราเสียภาษีน้อยลง ตัวอย่างเช่น ถ้าฐานภาษีลูกจ้างอยู่ที่ 30% การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนนี้จะประหยัดภาษีได้ถึง 30% * 600,000 = 180,000 บาทเลยทีเดียว แต่ลูกจ้างจะได้รับยกเว้นเงินได้ในการคำนวณภาษีไม่เกิน 600,000 บาท ต้องเป็นกรณีถูกเลิกจ้างเท่านั้น ดังนั้น ถ้าเป็นกรณีลูกจ้างลาออก หรือถูกเลิกจ้าง แต่บริษัทให้ลูกจ้างเขียนใบลาออก ถึงแม้บริษัทจะจ่ายเงินชดเชยให้ ลูกจ้างก็จะไม่ได้รับยกเว้นเงินได้ในการคำนวณภาษีส่วนนี้
เงินชดเชยกรณีว่างงาน จากกองทุนประกันสังคม
ถ้าเป็นกรณีถูกเลิกจ้าง ลูกจ้างจะได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงานปีละไม่เกิน 180 วัน ในอัตรา 60% ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยคำนวณจากฐานเงินเดือนขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และฐานเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ถ้าคิดที่ฐานเงินเดือน 15,000 บาท ลูกจ้างจะได้รับเงินทดแทนกรณีถูกเลิกจ้างรวมทั้งหมด เท่ากับ 60% * 15,000 * 6 = 54,000 บาท
ถ้าเป็นกรณีลาออก ลูกจ้างจะได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงานปีละไม่เกิน 90 วัน ในอัตรา 30% ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยคำนวณจากฐานเงินเดือนขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และฐานเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ถ้าคิดที่ฐานเงินเดือน 15,000 บาท ลูกจ้างจะได้รับเงินทดแทนกรณีถูกเลิกจ้างรวมทั้งหมด เท่ากับ 30% * 15,000 * 3 = 13,500 บาท ได้น้อยกว่ากรณีถูกเลิกจ้าง เท่ากับ 54,000 - 13,500 = 40,500 บาท
กรณีนี้ ก็เช่นกันถ้าเป็นกรณีลูกจ้างถูกเลิกจ้าง แต่บริษัทให้ลูกจ้างเขียนใบลาออก ลูกจ้างก็จะได้เงินทดแทนระหว่างการว่างงานจากประกันสังคมแบบ “กรณีลาออก”
หากอายุสมาชิกประกันสังคมยังไม่ถึง 180 เดือน การเลือกสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ซึ่งเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจหลังออกจากงานประจำ (มาตรา 33) เพื่อรักษาสิทธิประกันสังคม เพิ่มอายุสมาชิกและเงินสะสมเพื่อประโยชน์กรณีชราภาพ โดยจ่ายเงินสมทบเดือนละ 432 บาท
หากอายุงานไม่ถึง 5 ปี หรือ อายุงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป แต่อายุตัวลูกจ้างยังไม่ถึง 55 ปีบริบูรณ์ และอายุสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพยังไม่ถึง 5 ปีบริบูรณ์ ผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพยังคงต้องเสียภาษี การเลือกคงเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือโอนเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปกองทุน RMF for PVD เพื่อให้อายุสมาชิกและอายุตัวลูกจ้างเป็นไปตามเกณฑ์ที่สรรพากรกำหนด ก็จะช่วยให้ผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพยกเว้นภาษี เป็นการประหยัดภาษีอีกทางหนึ่งนะ
บริหารสวัสดิการที่หมดไป
สวัสดิการที่เราเคยได้ ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินในประกันสังคม ที่บริษัทจัดให้ก็จะหมดตามอายุงานไปด้วย หากเราต้องการสวัสดิการนั้น ๆ ต่อ เราก็ต้องจัดหาด้วยตัวเราเอง
สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล เราเลือกได้ 3 ทางนะ คือ
จะใช้สิทธิบัตรทอง (สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ก็ได้ วิธีนี้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง และไม่มีวงเงิน เพียงลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลประจำตัวแล้วใช้สิทธิได้ทันทีโดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว หรือ
เลือกต่อประกันสังคมมาตรา 39 เพื่อรักษาสวัสดิการรักษาพยาบาล และเป็นการออมเงินเพื่อใช้ยามเกษียณ วิธีนี้ต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือน ๆ ละ 432 บาท จึงจะสามารถใช้สิทธิได้ ใช้กับโรงพยาบาลที่เลือกสิทธิไว้ (อาจเป็นโรงพยาบาลเอกชนก็ได้) กรณีฉุกเฉินเข้าที่ไหนก่อนก็ได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่มีวงเงิน และไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือ
ถ้าพอจะมีฐานะทางการเงินที่ดี และต้องการความสะดวกสบายในการรักษาพยาบาล ก็สามารถเลือกซื้อประกันสุขภาพก็ได้
เริ่มชีวิตใหม่ เตรียมพร้อมทางการเงิน
เริ่มตั้งต้นด้วยการประเมินสถานะการเงิน ตรวจสอบจำนวนเงินสำรองที่เก็บไว้ หนี้สิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ฯลฯ เพื่อวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างรัดกุม ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นตัดออก เพื่อยืดระยะเวลาการใช้เงินสำรองให้นานที่สุด เริ่มหารายได้จะเป็นงานในสายอาชีพเดิม หรือ งานสายอาชีพอื่น คนที่ถูกเกษียณก่อนกำหนดรายแรก ๆ อย่ามองว่าตัวเองโชคร้าย บางทีเราอาจโชคดีก็ได้ เพราะในช่วงแรก ๆ คนตกงานยังไม่เยอะ โอกาสหางานใหม่ยังมีมากเท่ากับเราได้เงินก้อนมาฟรี พร้อมโอกาสในการหางานใหม่ สร้างอนาคตใหม่
หรือใครไม่อยากเป็นลูกจ้าง อยากเป็นเจ้าของตัวเอง ก็ลองมองหางานอิสระ (freelance) หรืองานชั่วคราว ฯลฯ ที่ตนเองสนใจและคิดจะทำหลังเกษียณ ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว ลองทำดูเลย อย่างเพื่อนผมคนหนึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชน เงินเดือนเยอะ อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ไม่กล้า กลัวเจ๊ง เสียดายเงินเดือน ตอนหลังถูกเลิกจ้าง ก็เลยต้องทำธุรกิจที่ตนเองสนใจ แม้จะกลัวเจ๊ง แต่กลัวอดตายมากกว่า ตอนนี้ก็เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โต มีรายได้มากกว่าตอนเป็นลูกจ้างอีก
“สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ต้องรู้อะไรบ้าง ถ้าเลือกเกษียณก่อนกำหนด
ต้องรู้อะไรบ้าง ถ้าเลือกเกษียณก่อนกำหนด