M2 Bradley 'แท็กซี่ในสนามรบ'

ยานเกราะต่อสู้ M2 แบรดลีย์ (Bradley IFV) เป็นยานเกราะอเมริกันที่ผลิตโดย BAE Systems เริ่มเข้าประจำการในปี 1981 ออกแบบมาเพื่อเป็นยานรบหลักในการขนส่งทหารราบและทำหน้าที่ลาดตระเวน โดยสามารถป้องกันทหารจากอาวุธเบาและมีอำนาจการยิงสูงเพื่อสนับสนุนการรบ ตัวรถออกแบบมาให้มีความคล่องตัวและรวดเร็ว เพื่อเคลื่อนที่ไปพร้อมกับรถถังหลัก M1 เอบรามส์ได้
คุณสมบัติหลักและอาวุธยุทโธปกรณ์
ตัวรถมีพลประจำ 3 นาย และสามารถบรรทุกทหารราบได้ 6 นาย มีการติดตั้งอาวุธหลักคือ ปืนใหญ่อัตโนมัติ M242 ขนาด 25 มม. ซึ่งใช้ยิงทำลายยานเกราะเบาและบังเกอร์ นอกจากนี้ยังมีปืนกล M240C ขนาด 7.62 มม. และระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถัง TOW สำหรับเป้าหมายที่แข็งแกร่งกว่า ระบบเกราะของแบรดลีย์ทำจากอะลูมิเนียมและเหล็กกล้าความแข็งสูง ซึ่งได้รับการปรับปรุงในรุ่นต่อมาให้สามารถต้านทานกระสุนขนาด 30 มม. และจรวด RPG ได้
ประวัติการใช้งานและการพัฒนา
แบรดลีย์ได้เข้าร่วมปฏิบัติการรบสำคัญหลายครั้ง เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย (1990-1991) และ สงครามอิรัก (2003) โดยในสงครามอ่าว แบรดลีย์สามารถทำลายยานเกราะอิรักได้มากกว่ารถถัง M1 เอบรามส์ แม้จะมีการสูญเสียบางส่วนจากการยิงพวกเดียวกันเอง ในสงครามอิรัก แบรดลีย์แสดงให้เห็นถึงความทนทานต่ออุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่อง (IED) โดยช่วยให้พลประจำรอดชีวิตจากการโจมตีได้
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดรุ่นย่อยต่างๆ ที่ได้รับการอัปเกรดประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดด ได้แก่:
M2A1 (1986): เพิ่มระบบขีปนาวุธ TOW II และระบบป้องกันนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมี (NBC)
M2A2 (1988): เพิ่มเครื่องยนต์ที่ทรงพลังขึ้นและเกราะที่หนาขึ้น
M2A3 (2000): เปลี่ยนระบบทั้งหมดให้เป็นดิจิทัล เพิ่มความสามารถในการระบุเป้าหมายและการควบคุมการยิง รวมถึงติดตั้งระบบภาพความร้อนและระบบนำทางที่แม่นยำ
M2A4 (ปัจจุบัน): เป็นการอัปเกรดเพื่อเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง รวมถึงปรับปรุงความสามารถในการรองรับน้ำหนักและติดตั้งระบบป้องกันเชิงรุก Iron Fist
นอกจากบทบาทหลักในฐานะยานรบทหารราบแล้ว ตัวถังของแบรดลีย์ยังถูกนำไปใช้เป็นพื้นฐานสำหรับยานเกราะอื่นๆ เช่น ระบบจรวดหลายลำกล้อง M270 และรถป้องกันภัยทางอากาศ M6 ไลน์แบ็คเกอร์ ซึ่งตอกย้ำถึงความอเนกประสงค์และความสำคัญของมันในกองทัพสหรัฐฯ

M2 Bradley 'แท็กซี่ในสนามรบ'
คุณสมบัติหลักและอาวุธยุทโธปกรณ์
ตัวรถมีพลประจำ 3 นาย และสามารถบรรทุกทหารราบได้ 6 นาย มีการติดตั้งอาวุธหลักคือ ปืนใหญ่อัตโนมัติ M242 ขนาด 25 มม. ซึ่งใช้ยิงทำลายยานเกราะเบาและบังเกอร์ นอกจากนี้ยังมีปืนกล M240C ขนาด 7.62 มม. และระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถัง TOW สำหรับเป้าหมายที่แข็งแกร่งกว่า ระบบเกราะของแบรดลีย์ทำจากอะลูมิเนียมและเหล็กกล้าความแข็งสูง ซึ่งได้รับการปรับปรุงในรุ่นต่อมาให้สามารถต้านทานกระสุนขนาด 30 มม. และจรวด RPG ได้
ประวัติการใช้งานและการพัฒนา
แบรดลีย์ได้เข้าร่วมปฏิบัติการรบสำคัญหลายครั้ง เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย (1990-1991) และ สงครามอิรัก (2003) โดยในสงครามอ่าว แบรดลีย์สามารถทำลายยานเกราะอิรักได้มากกว่ารถถัง M1 เอบรามส์ แม้จะมีการสูญเสียบางส่วนจากการยิงพวกเดียวกันเอง ในสงครามอิรัก แบรดลีย์แสดงให้เห็นถึงความทนทานต่ออุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่อง (IED) โดยช่วยให้พลประจำรอดชีวิตจากการโจมตีได้
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดรุ่นย่อยต่างๆ ที่ได้รับการอัปเกรดประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดด ได้แก่:
M2A1 (1986): เพิ่มระบบขีปนาวุธ TOW II และระบบป้องกันนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมี (NBC)
M2A2 (1988): เพิ่มเครื่องยนต์ที่ทรงพลังขึ้นและเกราะที่หนาขึ้น
M2A3 (2000): เปลี่ยนระบบทั้งหมดให้เป็นดิจิทัล เพิ่มความสามารถในการระบุเป้าหมายและการควบคุมการยิง รวมถึงติดตั้งระบบภาพความร้อนและระบบนำทางที่แม่นยำ
M2A4 (ปัจจุบัน): เป็นการอัปเกรดเพื่อเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง รวมถึงปรับปรุงความสามารถในการรองรับน้ำหนักและติดตั้งระบบป้องกันเชิงรุก Iron Fist
นอกจากบทบาทหลักในฐานะยานรบทหารราบแล้ว ตัวถังของแบรดลีย์ยังถูกนำไปใช้เป็นพื้นฐานสำหรับยานเกราะอื่นๆ เช่น ระบบจรวดหลายลำกล้อง M270 และรถป้องกันภัยทางอากาศ M6 ไลน์แบ็คเกอร์ ซึ่งตอกย้ำถึงความอเนกประสงค์และความสำคัญของมันในกองทัพสหรัฐฯ