อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น...เป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น...เป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย...
พึงเห็นสิ่งนั้น...ด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ว่า...
นั่นไม่ใช่ ของเรา นั่นไม่เป็น เรา
นั่นไม่ใช่ ตัวตน ของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญา...
อันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้
จิต ย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
เวทนา ไม่เที่ยง สัญญา ไม่เที่ยง
สังขาร ไม่เที่ยง วิญญาณ ไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น...เป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น...เป็นอนัตตา
สิ่งใด...เป็นอนัตตา
เธอทั้งหลายพึงเห็นสิ่งนั้น...ด้วยปัญญา
อันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า...
นั่น!ไม่ใช่ ของเรา นั่น!ไม่เป็นเรา นั่น!
ไม่ใช่ตัวตน ของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความจริงอย่างนี้ จิต ย่อมคลายกำหนัด ย่อม หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่
ถือมั่น.
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้ว จากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้ว...
จากเวทนาธาตุ จากสัญญาธาตุ จากสังขารธาตุ จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้ว...
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
เพราะหลุดพ้นแล้ว จิต จึงดำรงอยู่...
เพราะดำรงอยู่...จึงยินดีพร้อม
เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตน เท่านั้น
ภิกษุนั้น...ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว... พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว...กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว...
กิจอื่น...
เพื่อ...ความเป็นอย่างนี้ มิได้มี."
พระไตรปิฎกฉบับหลวง
เล่มที่ 17 หน้าที่ 44-45 ข้อที่ 91-92
เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตร พุทธพจน์
โพธิปักขิยธรรม
พิจารณาทิ้งขันธ์5 เพื่อไปพระนิพพาน กันเถิด
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น...เป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น...เป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย...
พึงเห็นสิ่งนั้น...ด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ว่า...
นั่นไม่ใช่ ของเรา นั่นไม่เป็น เรา
นั่นไม่ใช่ ตัวตน ของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญา...
อันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้
จิต ย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
เวทนา ไม่เที่ยง สัญญา ไม่เที่ยง
สังขาร ไม่เที่ยง วิญญาณ ไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น...เป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น...เป็นอนัตตา
สิ่งใด...เป็นอนัตตา
เธอทั้งหลายพึงเห็นสิ่งนั้น...ด้วยปัญญา
อันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า...
นั่น!ไม่ใช่ ของเรา นั่น!ไม่เป็นเรา นั่น!
ไม่ใช่ตัวตน ของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความจริงอย่างนี้ จิต ย่อมคลายกำหนัด ย่อม หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่
ถือมั่น.
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้ว จากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้ว...
จากเวทนาธาตุ จากสัญญาธาตุ จากสังขารธาตุ จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้ว...
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
เพราะหลุดพ้นแล้ว จิต จึงดำรงอยู่...
เพราะดำรงอยู่...จึงยินดีพร้อม
เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตน เท่านั้น
ภิกษุนั้น...ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว... พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว...กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว...
กิจอื่น...
เพื่อ...ความเป็นอย่างนี้ มิได้มี."
พระไตรปิฎกฉบับหลวง
เล่มที่ 17 หน้าที่ 44-45 ข้อที่ 91-92
เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตร พุทธพจน์
โพธิปักขิยธรรม