พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
**********
๓. อนิจจสูตรที่ ๑
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
เวทนาไม่เที่ยง ...
สัญญาไม่เที่ยง ...
สังขารไม่เที่ยง ...
วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ
หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้หลาย เพราะไม่ถือมั่น.
ถ้า
จิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ...
จากสัญญาธาตุ ...
จากสังขารธาตุ ...
จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือ
มั่น.
เพราะหลุดพ้นแล้ว
จิตจึงดำรงอยู่
เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม
เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ สูตรที่ ๓.
**********
----------------
----
สิ่งที่มีสภาวะที่แท้จริง ที่
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
คือ จิต
และ ดังนั้น
สิ่ง ที่มีความกำหนัด
ก็คือ
จิต
**********
๓. อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
...
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
...
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้า
จิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ
หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้หลาย เพราะไม่ถือมั่น.
ถ้า
จิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ...
**********
---------------
========
อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มูลปัณณาสก์ อัตตทีปวรรคที่ ๕อนิจจสูตรที่ ๑ ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
อรรถกถาอนิจจสูตรที่ ๑
ในอนิจจสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ ความว่า พึงเห็นด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยมรรค พร้อมด้วยวิปัสสนา.
บทว่า วิรชฺชติ วิมุจฺจติ ได้แก่
ย่อมคลายกำหนัดในขณะแห่งมรรค ย่อมหลุดพ้นในขณะแห่งผล.
บทว่า อนุปาทาย อาสเวหิ ความว่า เพราะไม่ยึดถือ จึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายที่ดับสนิทด้วยการดับสนิทโดยไม่เกิดขึ้น.
บทว่า รูปธาตุยา เป็นต้น ตรัสไว้เพื่อแสดงปัจจเวกขณญาณ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพื่อแสดงปัจจเวกขณญาณพร้อมด้วยผล ดังนี้ก็มี.
บทว่า ฐิตํ ได้แก่ ตั้งอยู่โดยความเป็นกิจที่จะพึงกระทำให้สูงขึ้นไป.
บทว่า ฐิตตฺตา สนฺตุสิตํ ได้แก่ ยินดีโดยภาวะเที่ยงแท้ที่จะพึงบรรลุ.
บทว่า ปจฺจตฺตํเยว ปรินิพฺพายติ ได้แก่ ย่อมปรินิพพานด้วยตนเองทีเดียว.
จบอรรถกถาอนิจจสูตรที่ ๑
----------------------------------
========
*** อนิจจสูตรที่ ๑ ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕ |อนิจจสูตรที่ ๒ ***
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
เวทนาไม่เที่ยง ...
สัญญาไม่เที่ยง ...
สังขารไม่เที่ยง ...
วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ
หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้หลาย เพราะไม่ถือมั่น.
ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ...
จากสัญญาธาตุ ...
จากสังขารธาตุ ...
จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือ
มั่น.
เพราะหลุดพ้นแล้ว
จิตจึงดำรงอยู่
เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม
เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ สูตรที่ ๓.
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
คือ จิต
และ ดังนั้น สิ่ง ที่มีความกำหนัด
ก็คือ
จิต
**********
๓. อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
...
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
...
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ
หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้หลาย เพราะไม่ถือมั่น.
ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ...
**********
อรรถกถาอนิจจสูตรที่ ๑
ในอนิจจสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ ความว่า พึงเห็นด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยมรรค พร้อมด้วยวิปัสสนา.
บทว่า วิรชฺชติ วิมุจฺจติ ได้แก่ ย่อมคลายกำหนัดในขณะแห่งมรรค ย่อมหลุดพ้นในขณะแห่งผล.
บทว่า อนุปาทาย อาสเวหิ ความว่า เพราะไม่ยึดถือ จึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายที่ดับสนิทด้วยการดับสนิทโดยไม่เกิดขึ้น.
บทว่า รูปธาตุยา เป็นต้น ตรัสไว้เพื่อแสดงปัจจเวกขณญาณ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพื่อแสดงปัจจเวกขณญาณพร้อมด้วยผล ดังนี้ก็มี.
บทว่า ฐิตํ ได้แก่ ตั้งอยู่โดยความเป็นกิจที่จะพึงกระทำให้สูงขึ้นไป.
บทว่า ฐิตตฺตา สนฺตุสิตํ ได้แก่ ยินดีโดยภาวะเที่ยงแท้ที่จะพึงบรรลุ.
บทว่า ปจฺจตฺตํเยว ปรินิพฺพายติ ได้แก่ ย่อมปรินิพพานด้วยตนเองทีเดียว.
จบอรรถกถาอนิจจสูตรที่ ๑
----------------------------------