ผักพื้นบ้าน 2 ชนิด สมุนไพรขวัญใจคนญี่ปุ่น เคล็ดลับอายุยืนยาว ศัตรูโรคเบาหวาน ลดไขมันในเลือด
ผักพื้นบ้านที่คนไทยคุ้นเคย ไม่เพียงแต่เป็นวัตถุดิบในครัว แต่ยังถือเป็นสมุนไพรที่อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะสองชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่นและถือเป็นกุญแจสู่การมีอายุยืนยาว นั่นคือ มะระขี้นก และ กระเจี๊ยบเขียว ซึ่งนอกจากจะช่วยบำรุงสุขภาพแล้ว ยังเป็นตัวช่วยธรรมชาติในการป้องกันโรคและปรับสมดุลร่างกาย
กระเจี๊ยบเขียว ชื่อสามัญ Okra, Lady’s finger, Gombo, Gumbo, Bendee, Quimbamto แต่ในอินเดียจะเรียกกระเจี๊ยบเขียวว่า บินดี (Bhindi) ส่วนประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียนจะเรียกว่า บามี (Bamies) ชื่อวิทยาศาสตร์ Abelmoschus esculentus (L.) Moench จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE)
ในญี่ปุ่น กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่คนรักและนิยมบริโภคอย่างมาก ผูกกับวัฒนธรรมการกินเพื่อสุขภาพของชาวญี่ปุ่น พวกเขานำไปปรุงในเมนูต่าง ๆ ตั้งแต่ okura no aemono หรือ สลัดกระเจี๊ยบเขียว ไปจนถึงการลวกหรือนึ่งง่าย ๆ กระเจี๊ยบเขียวยังจัดอยู่ในกลุ่ม “neba neba foods” หรือเมนูลื่นๆ เหนียวๆ เช่น นัตโตะ สาหร่ายโมซุกุ หรือ เห็ด nameko ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าอาหารกลุ่มนี้ดีต่อระบบทางเดินอาหารและสุขภาพลำไส้ จนบางครั้งกระเจี๊ยบเขียวถูกขนานนามว่า “โสมสีเขียว” ของชาวญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเคล็ดลับชีวิตยืนยาว
กระเจี๊ยบเขียวในไทย
ต้นกระเจี๊ยบเขียว มีถิ่นกำเนิดในแถบแอฟริกาตะวันตก ในประเทศซูดาน และสันนิษฐานว่าน่าจะมีการนำเข้ามาในประเทศไทยหลังปี พ.ศ.2416 โดยจัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุประมาณ 1 ปี มีความสูงประมาณ 0.5-2.4 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีสีเขียว แต่บางครั้งก็มีจุดประม่วง ตามลำต้นจะมีขนอ่อนหยาบ ๆ ขึ้นปกคลุม เช่นเดียวกับใบและผล เจริญเติบโตได้ดีในอากาศกึ่งร้อน หรือที่อุณหภูมิระหว่าง 18-35 องศาเซลเซียส ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด
กระเจี๊ยบเขียว ยังมีชื่อท้องถิ่นอีก เช่น กระต้าด (สมุทรปราการ), กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือ มะเขือมอญ มะเขือทะวาย ทวาย (ภาคกลาง), มะเขือมอญ มะเขือพม่า มะเขือละโว้ มะเขือขื่น มะเขือมื่น (ภาคเหนือ), ถั่วเละ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นต้น และสำหรับในประเทศไทย พื้นที่ที่มีการปลูกกระเจี๊ยบเขียวกันมากที่สุดส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในภาคกลาง เช่น นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี นครนายก ราชบุรี ระยอง พิจิตร สุพรรณบุรี สมุทรสาคร และกาญจนบุรี
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบเขียวไม่ใช่แค่ผักกินอร่อย แต่ยังมีชื่อเสียงเรื่องช่วยทำความสะอาดไขมันในเลือด Healthline ระบุว่า เจลเหนียวหนืด (mucilage) ในกระเจี๊ยบเขียวสามารถจับคอเลสเตอรอลในระหว่างการย่อยอาหาร ทำให้ถูกขับออกทางอุจจาระแทนที่จะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย งานวิจัยจาก National Institutes of Health (NIH) ยืนยันว่าใยอาหารละลายน้ำในกระเจี๊ยบเขียวช่วยป้องกันคอเลสเตอรอลเข้าสู่กระแสเลือด ลด LDL “ไม่ดี” และส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
นอกจากนี้ Medical News Today อ้างงานวิจัยที่พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หากรับประทานผงกระเจี๊ยบเขียววันละ 1,000 มก. สามารถลดคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดได้
นอกจากช่วยลดไขมันในเลือด กระเจี๊ยบเขียวยังเป็น แหล่งโภชนาการราคาถูก 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 33 แคลอรี แต่มีแมกนีเซียม 14% ของความต้องการรายวัน, โฟเลต 15%, วิตามิน C 26%, วิตามิน K1 26% และใยอาหาร 3 กรัม
คุณประโยชน์เด่น ๆ ได้แก่
ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานและเบาหวานชนิดที่ 2
ดีต่อหญิงตั้งครรภ์ด้วยโฟเลตสูง ลดความเสี่ยงทารกพิการท่อประสาท
อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีฟีนอล ฟลาโวนอยด์ และวิตามิน C ช่วยปกป้องหัวใจ บำรุงความจำ และลดการอักเสบ
ช่วยป้องกันมะเร็ง: งานวิจัยในหลอดทดลองพบว่าโปรตีน lectin ในกระเจี๊ยบเขียวสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ถึง 63%
6 ผลข้างเคียงกระเจี๊ยบเขียว
1.ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร: ฟรุคแทน เป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่พบในกระเจี๊ยบเขียว ซึ่งอาจทำให้ปัญหาเกี่ยวกับลำไส้รุนแรงขึ้นในผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน
2.อาการปวดข้อ: กระเจี๊ยบเขียวมีสารพิษชนิดหนึ่งชื่อ โซลานีน ซึ่งอาจทำให้อาการปวดและการอักเสบรุนแรงขึ้นในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อ เช่น โรคข้ออักเสบ
3.นิ่วในไต: กระเจี๊ยบเขียวมีปริมาณออกซาเลตสูง และแคลเซียมออกซาเลตเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดนิ่วในไต อาหารที่มีออกซาเลตสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นนิ่วมาก่อน
4.ผลกระทบต่อผู้ป่วยเบาหวาน: มีการศึกษาพบว่า กระเจี๊ยบเขียวอาจไปรบกวนการดูดซึมยาเมตฟอร์มิน ซึ่งเป็นยาลดน้ำตาลในเลือดที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มักมีปัสสาวะเป็นกรด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตเมื่อบริโภคกระเจี๊ยบเขียว
5.การแข็งตัวของเลือด: วิตามินเค ช่วยในการแข็งตัวของเลือด และกระเจี๊ยบเขียวมีวิตามินเคสูง ซึ่งอาจมีปฏิกิริยากับยาละลายลิ่มเลือด เช่น คูมาดิน (วาร์ฟาริน) ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือดควรระมัดระวังและปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะนำกระเจี๊ยบเขียวมารับประทาน
6.อาการแพ้: แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้น้อย แต่บางคนอาจมีอาการแพ้หรือไวต่อกระเจี๊ยบเขียว อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่ คัน ผื่นลมพิษ รู้สึกเสียวซ่าบริเวณปากหรือรอบปาก หายใจลำบาก และคัดจมูก
มะระขี้นก ผักของเมืองอายุยืน
มะระขี้นกเป็นผักที่พบได้ในวัฒนธรรมอาหารของหลายประเทศ โดยเฉพาะชาวโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็น “เมืองหลวงแห่งอายุยืน”
คนในท้องถิ่นเรียกมะระขี้นกว่า “โกยะ (Goya)” และมีเมนูขึ้นชื่ออย่าง Goya Chanpuru ผัดมะระขี้นกกับเต้าหู้ ไข่ และหมู ซึ่งไม่เพียงแต่อร่อย ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเพื่อสุขภาพอีกด้วย
การที่ชาวโอกินาวากินมะระขี้นกเป็นประจำ อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรัง และชะลอความชรา
จากมุมมองทางโภชนาการ มะระขี้นกถือเป็นผักที่ “พลังงานต่ำ แต่สารอาหารแน่น”
วิตามิน C สูง
โพแทสเซียม
ใยอาหาร
กรดโฟลิก
วิตามิน B รวม
มีคุณสมบัติช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดอาการของโรคเมตาบอลิก และลดการอักเสบเรื้อรังอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้มะระขี้นกจะดี แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ดังนี้
หญิงตั้งครรภ์
ผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำ
ผู้ที่ใช้ยาลดน้ำตาลในเลือด
ผู้ที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ หรือท้องเสียง่าย
มะระขี้นกในศาสตร์แพทย์แผนไทย
ผู้ป่วยเบาหวานทั่วไปจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุเกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินบกพร่อง อาการสำคัญที่สังเกตได้ของโรคเบาหวาน คือ ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในตอนกลางคืน หิวบ่อย กระหายน้ำบ่อย มีอาการชาปลายมือปลายเท้า หากมีบาดแผล มักจะหายช้า ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ส่งผลให้จอประสาทตาเสื่อม เกิดแผลกดทับ ติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะติดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการก่อให้เกิดความพิการตามมา
ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย ขอแนะนำ “มะระขี้นก” ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน สามารถนำมารับประทานเป็นอาหารและเป็นยารักษาโรค ปัจจุบันมีผลการศึกษาวิจัยหลายฉบับทั้งในสัตว์ทดลองและในผู้ป่วยเบาหวาน ยืนยันว่าสาร charantin ที่พบในมะระขี้นก สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง และการใช้มะระขี้นกขนาด 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน จากการติดตามผลไม่มีอาการข้างเคียงที่รุนแรง และไม่พบความเป็นพิษต่อตับ ซึ่งทำให้สามารถมั่นใจได้ว่า การใช้มะระขี้นก ไม่ว่าจะใช้เป็นอาหารหรือเป็นยาในการป้องกันหรือรักษาโรคเบาหวานนั้นมีความปลอดภัย
และปัจจุบันมะระขี้นก จัดเป็นพืชสมุนไพรที่ถูกนำมาขึ้นทะเบียนเป็นยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ สามารถเบิกจ่ายได้ในคลินิกการแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลของรัฐได้ทั่วประเทศการใช้มะระขี้นกเพื่อลดน้ำตาลในเลือด ให้เน้นการรับประทานเป็นอาหาร เพราะจะได้ไฟเบอร์ แร่ธาตุ และวิตามินอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย สำหรับผู้ป่วยเบาหวานก็ควรจำกัดการบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างเคร่งครัด
https://www.sanook.com/news/9840130/
ผักพื้นบ้าน 2 ชนิด สมุนไพรขวัญใจคนญี่ปุ่น เคล็ดลับอายุยืนยาว ศัตรูโรคเบาหวาน