JJNY : ปชช.อยากได้ นักธุรกิจ-Gen X นั่งนายกฯ│8 ข้อสังเกตทางนิติศาสตร์│"เจี๊ยบ" โพสต์รัวๆ โวย "พท."│เตือนฝนตกต่อเนื่อง

นิด้าโพล เผยผลสำรวจ เลือกตั้งครั้งหน้า ปชช.อยากได้ นักธุรกิจ-Gen X นั่งนายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5347413
.

.
นิด้าโพล เผยผลสำรวจ เลือกตั้งครั้งหน้า ปชช.อยากได้ นักธุรกิจ-Gen X นั่งนายกฯ
.
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สนใจไหม นายกใหม่ พรรคการเมืองใหม่” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความต้องการของประชาชนในการได้นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งครั้งหน้า การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงอาชีพของบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.44 ระบุว่า นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ รองลงมา ร้อยละ 24.05 ระบุว่า ทหาร ร้อยละ 19.54 ระบุว่า นักการเมืองอาชีพระดับชาติ ร้อยละ 16.26 ระบุว่า นักกฎหมาย (ทนาย อัยการ ผู้พิพากษา เป็นต้น) ร้อยละ 16.11 ระบุว่า ข้าราชการ ร้อยละ 14.89 ระบุว่า ผู้บริหารองค์การภาคธุรกิจ (ที่ไม่ใช่เจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการ) และนักวิชาการ ในสัดส่วนที่เท่ากัน
.
ร้อยละ 12.75 ระบุว่า นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง (SME) ร้อยละ 11.83 ระบุว่า นักการเมืองอาชีพระดับท้องถิ่น ร้อยละ 7.18 ระบุว่า ผู้ทำอาชีพอิสระ (ฟรีแลนซ์ อินฟลูเอนเซอร์ เน็ตไอดอล นักเขียน เป็นต้น) ร้อยละ 6.18 ระบุว่า คนในวงการ NGO อาสาสมัครเพื่อสังคม ร้อยละ 4.81 ระบุว่า ตำรวจ ร้อยละ 3.21 ระบุว่า พ่อค้า แม่ค้าในตลาด ร้อยละ 3.13 ระบุว่า ไม่ตอบ ร้อยละ 3.05 ระบุว่า แพทย์ พยาบาล ร้อยละ 2.82 ระบุว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร้อยละ 1.98 ระบุว่า มนุษย์เงินเดือนในบริษัทเอกชน ร้อยละ 0.84 ระบุว่า คนในวงการบันเทิง ดารา นักร้อง นักแสดง และร้อยละ 0.61 ระบุว่า คนในวงการไฮโซ
.
ด้านช่วงอายุ (เจเนอเรชั่น) ของบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 65.57 ระบุว่า Gen X (อายุระหว่าง 45-60 ปี) รองลงมา ร้อยละ 24.96 ระบุว่า Millennials หรือ Gen Y (อายุระหว่าง 29-44 ปี) ร้อยละ 9.24 ระบุว่า Baby Boomers (อายุระหว่าง 61-79 ปี) และร้อยละ 0.23 ระบุว่า Silent Gen (อายุระหว่าง 80-100 ปี)
.
สำหรับแนวโน้มในการเลือก ส.ส. ระบบเขตเลือกตั้ง จากพรรคการเมืองใหม่ ที่ไม่มี ส.ส. อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบัน หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.21 ระบุว่า ไม่แน่ใจ แต่มีแนวโน้ม
.
ที่จะเลือกผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคการเมืองใหม่ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า เลือกผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคการเมืองใหม่แน่นอน ร้อยละ 17.48 ระบุว่า ไม่เลือกผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคการเมืองใหม่แน่นอน ร้อยละ 11.15 ระบุว่า ไม่แน่ใจอะไรเลย และร้อยละ 7.40 ระบุว่า ไม่แน่ใจ แต่มีแนวโน้มที่จะไม่เลือกผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคการเมืองใหม่
.
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงแนวโน้มในการเลือก ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองใหม่ ที่ไม่มี ส.ส. อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบัน หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.75 ระบุว่า เลือกพรรคการเมืองใหม่แน่นอน รองลงมา ร้อยละ 32.06 ระบุว่า ไม่แน่ใจ แต่มีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคการเมืองใหม่ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่เลือกพรรคการเมืองใหม่แน่นอน ร้อยละ 11.15 ระบุว่า ไม่แน่ใจอะไรเลย และร้อยละ 5.95 ระบุว่า ไม่แน่ใจ แต่มีแนวโน้มที่จะไม่เลือกพรรคการเมืองใหม่
.
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก โดยตัวอย่าง ร้อยละ 47.94 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.06 เป็นเพศหญิง
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.13 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.34 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 25.80 อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตัวอย่าง ร้อยละ 95.57 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.21 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 1.22 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
ตัวอย่าง ร้อยละ 35.57 สถานภาพโสด ร้อยละ 61.53 สมรส และร้อยละ 2.90 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 0.23 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 15.80 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 31.99 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.07 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 35.95 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.96 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 10.15 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 18.70 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 22.60 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 10.31 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.51 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.78 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.95 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 18.63 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 2.98 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 13.44 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 31.68 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 12.36 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.49 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 2.75 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.14 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.46 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.22 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 0.92 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.93 ไม่ระบุรายได้
.


.
อาจารย์มธ. เขียน 8 ข้อสังเกตทางนิติศาสตร์ ต่อคำวินิจฉัย คดีคลิปเสียงอังเคิล
.
อาจารย์มธ. เขียน 8 ข้อสังเกตทางนิติศาสตร์ ต่อคำวินิจฉัย คดีคลิปเสียงอังเคิล
.
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์กฎหมาย คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อสังเกตทางนิติศาสตร์ที่มีต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคดีแพทองธาร ผ่านเฟซบุ๊ก ไว้ว่า
.
1. คลิปเสียงเป็นพยานหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชิ้นเดียวที่ถูกอ้างถึงเพื่อพิสูจน์ถึงการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ในขณะที่พยานหลักฐานส่วนใหญ่ที่ถูกอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความร้ายแรงและความเสียหายของการฝ่าฝืนจริยธรรม คือ ความรู้สึกนึกคิดของ “วิญญูชน” และ “สาธารณชน” โดยไม่ปรากฏว่าศาลได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิสูจน์ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นอย่างไร (ส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยระบุว่า “แต่เมื่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าผู้ถูกร้องจะกระทำการใดๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากกว่าการคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อความเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย”)
.
2. ความเชื่อศรัทธาของสาธารณชนที่มีต่อนักการเมืองไม่อาจทดสอบได้โดยกระบวนการทางกฎหมายและไม่อาจเป็นองค์ประกอบความรับผิดในทางกฎหมาย เนื่องจากความเป็นอัตวิสัยและเจือปนด้วยอคติ แต่ต้องถูกทดสอบโดยกระบวนการทางการเมือง คือ การเลือกตั้งและการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา และต้องรับผิดชอบในทางการเมืองเพราะเหตุที่ทำให้สาธารณชนขาดความเชื่อมั่นศรัทธานั้น
.
3. มาตรฐานจริยธรรมมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ถูกกำหนดให้บังคับใช้กับนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งด้วย กลับไม่เคยได้รับการพิจารณาและเห็นชอบโดยรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ทำหน้าที่ตุลาการและกึ่งตุลาการซึ่งมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างจากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการจึงไม่ควรเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง เช่นเดียวกับผู้ประกอบวิชาชีพและเจ้าหน้าที่รัฐต่างก็มีมาตรฐานทางจริยธรรมที่แตกต่างหลากหลายตามลักษณะการทำงานของตน
.
4. แม้ถ้อยคำ “ซื่อสัตย์สุจริต” และ “มาตรฐานจริยธรรม” ตามมาตรา 160 (4) (5) จะถูกบัญญัติไว้อย่างคลุมเครือเพื่อให้ศาลมีดุลยพินิจอย่างกว้างขวาง แต่ศาลสามารถสามารถใช้และตีความเพื่อให้เกิดความชัดเจนได้เพื่อให้การบังคับใช้เกิดความเป็นธรรม การสร้างความชัดเจนไม่ใช่แค่การกำหนดคำนิยาม แต่ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่สามารถพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงที่เป็นภววิสัย ในคดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดคำนิยามของถ้อยคำ และอ้างอิงพยานหลักฐานที่เป็นนามธรรม คือ ความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อมั่นศรัทธาของสาธารณชน โดยไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่เป็นภววิสัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่